การอ่านต้นทางพัฒนาศักยภาพเด็ก-เยาวชน แนะรัฐบาลเอาจริง จัดสรรงบให้เพียงพอ

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่สถาบันการประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ เขตพญาไท มูลนิธิสภาการสื่อมวลชน และสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติได้จัดพิธีมอบโล่รางวัลและเกียรติบัตรแก่โรงเรียนที่ได้รับรางวัลพร้อมพิธีปิดโครงการ“สร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์” ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 6 มิ.ย. 2568 ที่สถาบันการประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ ซอยอารีย์ กรุงเทพฯ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

คุณชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า โครงการนี้แบ่งการอบรมเชิงปฏิบัติการครูเป็น 9 กลุ่มโรงเรียน อบรมโดยใช้หนังสือพิมพ์ระดับชาติเป็นสื่อการสอน 4 กลุ่มโรงเรียน และหนังสือพิมพ์สมาชิกระดับภูมิภาคอีก 5 กลุ่มโรงเรียน มีครูจากกว่า 200 โรงเรียนทั่วประเทศเข้าร่วม ถือว่าดำเนินการได้ครอบคลุม ซึ่งโครงการนี้สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติได้ดำเนินการต่อเนื่องมาจากโครงการสัปดาห์ส่งเสริมการอ่านหนังสือพิมพ์ในโรงเรียน ตั้งแต่เมื่อกว่า 10 ปีก่อน สมัยที่ยังเป็นสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ

กระทั่งเมื่อเปลี่ยนมาเป็นสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จึงได้หารือกับทางกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เพื่อต่อยอดโครงการ และแม้ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อน หนังสือพิมพ์ไม่ใช่ช่องทางหลักในการบริโภคสื่ออีกต่อไป แต่หนังสือพิมพ์ก็ยังมีความสำคัญอยู่ จึงยังคงยืนยันในการใช้หนังสือพิมพ์เป็นสื่อการสอน แต่ก็เสริมเรื่องการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์เข้าไปด้วย

ซึ่งหลังจากการอบรมครูใน 9 กลุ่มโรงเรียน เรียนรู้เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมโดยใช้หนังสือพิมพ์ ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ให้กลับไปจัดกิจกรรมกันในแต่ละโรงเรียน แล้วเชิญครูที่จัดกิจกรรมไปแล้วกลับมาประเมินผล เช่น พบข้อสังเกตหรือมีข้อเสนอแนะอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลให้สภาการสื่อมวลชนแห่งชาตินำไปใช้ปรับปรุงหรือต่อยอดการจัดโครงการลักษณะนี้ต่อไป

“เมื่อเราได้สัมมนาประเมินผลของกิจกรรมไปครบทั้ง 9 กลุ่ม ทางคณะทำงานรวมทั้งมีผู้ทรงคุณวุฒิด้วยมาร่วมในการพิจารณาผลงานการจัดกิจกรรมของแต่ละโรงเรียนในแต่ละกลุ่ม แล้วก็คัดเลือกโรงเรียนที่มีความโดดเด่นในด้านต่างๆ มาร่วมกันสัมมนาปิดโครงการ และมาร่วมในพิธีรับรางวัลในวันนี้ ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าว

ภายในงานมีการเสวนา หัวข้อ “ถอดบทเรียนการส่งเสริมการอ่านและรู้เท่าทันสื่อในประเทศไทย โดย ดร.วสันต์ สุทธาวาศ รองผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า การอ่านเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้เรื่องอื่นๆ ทั้งหมด การอ่านจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่างเคยเจอเด็กชั้นมัธยม มีศักยภาพในการเรียนรู้ แต่เมื่ออ่านได้ไม่คล่องก็ทำให้ศักยภาพนั้นลดลงอย่างมาก

ทั้งนี้ รอยต่อระหว่างช่วงชั้นปฐมวัยกับประถมศึกษา มีหลายปัญหาที่ทำให้ประสิทธิภาพในการอ่านไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เช่น การออกแบบหลักสูตร ที่มีเวลาให้ฝึกอ่านเขียนน้อยมาก คือวันละเพียง 1 ชั่วโมง ซึ่งหากเชื่อว่าการอ่านเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนต่อเนื่อง เวลาที่ให้มาดังกล่าวก็จะเห็นชัดเจนว่าขาดช่วงในการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ การบริหารจัดการในสถานศึกษา ผู้บริหารมักเน้นรายงานจำนวนเด็กที่อ่านออกเขียนได้กี่คน และคิดเป็นสัดส่วนเท่าใด แต่ยังขาดการบริหารภายในที่ช่วยหนุนเสริมให้เกิดการฝึกฝนพัฒนาต่อเนื่อง รวมถึงการส่งต่อระหว่างช่วงชั้น เช่น จากปฐมวัยขึ้นถึงประถมศึกษา ต้องเตรียมเรื่องอะไรที่เหมาะสมกับช่วงวัยและธรรมชาติของเด็ก

บทบาทของครู ในฐานะที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็ก ซึ่งไม่ใช่เฉพาะวุฒิการศึกษาหรือความรู้ความสามารถของครูเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของคุณลักษณะบางประการของครูที่จะเข้าไปสร้างพื้นที่ให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดี เพราะการฝึกเด็กให้อ่านออกเขียนได้ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ครูต้องละเมียดละไมในการทำความรู้จักพัฒนาการของเด็กเป็นรายบุคคล ต้องใคร่ครวญอย่างมากในการออกแบบ ทั้งการฝึกวินัย การเสริมแรง เพื่อพัฒนาเด็กขึ้นมา

บทบาทของผู้ปกครอง หากมองว่าการอ่านเป็นทักษะที่ต้องใช้การฝึกฝน “ช่วงเวลาคุณภาพ” ก็สำคัญ เพราะต้องให้มีความต่อเนื่อง ดังนั้นการที่ผู้ปกครองไม่เห็นความสำคัญ โดยมองว่าตนเองต้องทำมาหากิน ในเมื่อส่งบุตรหลานไปโรงเรียนแล้วครูก็ต้องมีหน้าที่สอน ผลคือช่วงเวลาที่ต่อเนื่องอาจไม่เพียงพอ โอกาสที่จะพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะขาดหายไป

ตัวเด็กเอง ซึ่งแต่ละคนมีศักยภาพในการเรียนรู้แตกต่างกันไปในแต่ละเรื่อง จึงต้องออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน เช่น เด็กกลุ่มชาติพันธุ์บนดอย อย่างดอยตุง โครงการดอยตุงจะออกแบบวิธีการสอนภาษาไทยอีกแบบหนึ่ง และเป็น Intensive (เข้มข้น) โดยเฉพาะ เพราะรู้ว่าเด็กที่นั่นไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ หรือเด็กกลุ่มอื่นๆ เช่น เด็กที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ก็อาจต้องได้รับการออกแบบการจัดการเรียนรู้ในเรื่องนี้เป็นพิเศษ ซึ่งแน่นอนก็เป็นครูที่จะต้องรู้จักเด็ก

“อีกประเด็นที่คิดว่าสำคัญมากและเกี่ยวโยงกับงานเราด้วย คือเรื่องของแหล่งเรียนรู้ในการเข้าไปช่วยเอื้อให้เกิดบรรยากาศในการอ่านออกเขียนได้ของเด็ก ยกตัวอย่างการมีแหล่งเรียนรู้ในชุมชน ที่เด็กได้เข้าถึงหนังสือที่น่าสนใจ เข้าถึงการอ่านที่เชื่อมโยงกับชีวิตของเขาที่เป็นเรื่องใกล้ตัว อย่างสมัยเรามี Student Weekly เดี๋ยวนี้หนังสืออ่านนอกเวลาก็ห่างหายจากห้องเรียนไปไกลมาก ไม่มีเลย ซึ่งจริงๆ มันดีมาก อาจจะด้วยความเร่งรีบของโลกปัจจุบันที่เป็นดิจิทัล อาจจะด้วยภาระงานอะไรต่างๆ มันเลยทำให้แหล่งเรียนรู้ไม่ว่าจะในหรือนอกโรงเรียนค่อนข้างไม่เอื้อต่อการเรียนรู้กับเด็ก ดร.วสันต์ กล่าว   

คุณพจมาลย์ ปทุมบริสุทธิ์ ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์ชำนาญการ หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า หากมองที่ผู้ปกครอง อาจไม่มีเวลาบ้าง ที่บ้านไม่มีหนังสือหรือสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะสมบ้าง จึงคาดหวังกับครูและโรงเรียนอย่างมาก มาส่งบุตรหลานที่โรงเรียนแต่เช้าและหวังว่า 8 ชั่วโมงของการที่เด็กอยู่ในโรงเรียนต้องทำให้อ่านออกเขียนได้ แต่สิ่งที่ผู้ปกครองลืมคำนึงไปคือผู้เป็นต้นแบบของบุตรหลานก็คือตัวผู้ปกครองเองด้วย กล่าวคือ ผู้ปกครองต้องเป็นต้นแบบของการรักการอ่านเสียก่อน

ขณะที่ในส่วนของ กทม. เอง ก็มีประเด็นเด็กพหุวัฒนธรรม พ่อแม่ใช้ภาษาไทยไม่ได้ เช่น บุตรหลานของผู้ปกครองในแคมป์คนงาน เด็กมาเรียน 3 เดือนก็ย้ายถิ่นไป ทำให้ครูขาดความต่อเนื่องในการสอนแม้จะอยากสอนให้เต็มที่ก็ตาม อย่างมีครูบางคนถึงขั้นไปตามเด็กที่แคมป์คนงานให้มาเรียนหนังสือ แต่อีกด้านก็คือผู้ปกครองไม่ให้ความร่วมมือด้วย นอกจากนั้นยังมีปัจจัยเรื่อง “เทคโนโลยี” เด็กเกิดมาพร้อมคอมพิวเตอร์พกพาหรือโทรศัพท์มือถือ ก็ไม่จำเป็นต้องอ่าน อาศัยแต่เพียงการฟังและไม่ได้สื่อสารกับใคร แต่การอ่านเป็นเรื่องของปฏิสัมพันธ์อย่างหนึ่ง

“เรามีสื่อ เราอ่าน เราอ่านไม่ออก เราหันไปถามพ่อแม่ พ่อแม่ตอบเราได้มันคือการปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว ในโรงเรียน แล้วก็ในชุมชนของเรา นั่นคือจุดหนึ่งที่เราอาจมองข้ามไปในเรื่องของการใช้สื่อด้วย การอ่านด้วย แล้วก็ครอบครัว ทัศนคติก็มีส่วนในบางครั้งที่เรามอง ทัศนคติที่ว่าเราอาจไม่ต้องอ่านอะไรเยอะก็ได้ เพราะเดี๋ยวนี้มี AI (ปัญญาประดิษฐ์) เข้ามาช่วยมากเลย ไม่ต้องคิดเยอะแล้วเพราะ AI ช่วย แต่อย่าลืมว่า AI แทนความรู้สึกของมนุษย์ไม่ได้ ดังนั้นเราจึงจะต้องช่วยกันส่งเสริมในเรื่องของการอ่านให้มากขึ้น” คุณพจมาลย์ กล่าว

คุณสุดใจ พรหมเกิด ประธานมูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน กล่าวว่าจากประสบการณ์ทำงานมา 10 ปี มองว่าสังคมไทยยังเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องความสำคัญของการอ่าน ในขณะที่องค์การยูเนสโกประกาศให้การอ่านเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เป็นหน้าที่ของรัฐบาลทั่วโลกที่ต้องทำให้มนุษย์ทุกคนอ่านออกเขียนได้ เพราะเป็นต้นทางไปสู่การมีงานทำที่เหมาะสม การมีคุณภาพชีวิต มีพฤติกรรมสุขภาพ และพัฒนาศักยภาพ แต่รัฐบาลยังไม่ทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง อย่างประเทศไทยรณรงค์การอ่านเป็นวาระแห่งชาติมา 10 ปี แต่ขาดงบประมาณและมาตรการที่นำไปสู่การปฏิบัติ

แต่หากจะไปต่อกันในเรื่องการอ่าน รัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังในนโยบาย งบประมาณต้องมี มาตรการต้องสร้าง และต้องให้ทุกครอบครัวลุกขึ้นทำ โดยในปี 2568  มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ร่วมกับคณะกรรมการปฐมวัย ตลอดจน กทม. และอีกหลายพื้นที่ ประกาศเรื่องสวัสดิการการให้หนังสือเพื่อเด็กแรกเกิดเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งพบว่าเมื่อมีหนังสือที่บ้านและพ่อแม่เข้าใจ มีการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ขณะที่ศูนย์เด็กแล็กและศูนย์เรียนรู้ชุมชนมีหนังสือให้หมุนเวียน รวมถึงแพทย์แนะนำให้แม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในครรภ์

เพราะการที่ผู้ปกครองอ่านหนังสือให้บุตรหลานฟัง เด็กจะเกิดความสุข มีการสร้างสายสัมพันธ์ ซึ่งสายใยแรกนั้นสำคัญมากเนื่องจากเป็นการก่อเกื้อความเป็นมนุษย์ มีจิตสงสารเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ซึ่งสิ่งนี้สร้างได้ในวัย 0 – 6 ปีเท่านั้น หากเลยไปแล้วจะสร้างยากมาก ทั้งนี้ มีข้อมูลบ่งชี้ว่า ร้อยละ 60 ของผู้ก่ออาชญากรรมทั่วโลก มีพื้นเพมาจากการเป็นผู้ไม่รู้หนังสือ หมายถึงอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และขาดการสร้างสายสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ซึ่งสิ่งนี้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ก็ไม่สามารถสร้างให้ได้

“เราอ่านให้ฟัง ไม่ต้องการเวลามาก ต้องการแค่เวลาคุณภาพ หนังสือ 1 เล่มในเด็กเล็ก 2 – 3 นาทีจบแล้ว อ่านสัก 2 – 3 เล่ม สักครึ่งชั่วโมงต่อวัน ก่อนเด็กเข้าสู่ ป.1 100% เลยเด็กอ่านออกเขียนได้แล้ว ไม่ต้องไปแก้ไขปัญหาตอนช่วงชั้นที่ 1 แล้วทำอย่างไรกลุ่มเด็กช่วงอนุบาลถึงรอยต่อ ป.1 ถ้าบังเอิญหลุดจากครอบครัวที่ไม่มีใครอ่านให้ฟังแล้วอ่านไม่ออก – เขียนไม่ได้มาตั้งแต่ที่บ้าน จะทำอย่างไร? เขาพลาดโอกาสทองเยอะเลยนะ แต่มันยังมีหนังสือที่ช่วยเด็กได้ เมื่อก่อนประเทศไทยมีหนังสือที่ดีมากๆ แล้วหายไป มานะ – มานี เป็นชุดหนังสือที่ดีมาก เป็นไปตามขั้นพัฒนาการของเด็ก และพัฒนาการด้านภาษา แต่ห่างหายไป” คุณสุดใจ กล่าว

ในการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ ยังมีการประชุมกลุ่มย่อย Lesson Learn ร่วมกำหนดทิศทางอนาคตหลักสูตรเท่าทันสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน โดยมี รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะหัวหน้าโครงการ และคณะทำงานโครงการสร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์ เป็นผู้นำกระบวนการ ขณะที่ในช่วงบ่าย ยังมีเสวนาภาคีเครือข่าย มุมมองทิศทางอนาคตหลักสูตรเท่าทันสื่อยุคช้อมูลข่าวสาร (Information Age) และดิจิทัล (Digital) ผู้ร่วมเสวนา คุณสุธาทิพ ลาภสมทบ ผู้เชี่ยวชาญ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ คุณชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ คุณดำฤทธิ์ วิริยะกุล บรรณาธิการข่าวภูมิภาค หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คุณจักรกฤชณ์ แววคล้ายหงษ์ เจ้าของ-บรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ประชามติตราด คุณชลธิษ จันทร์สิงห์ บรรณาธิการข่าว หนังสือพิมพ์ปทุมมาลัย จังหวัดอุบลราชธานี ดำเนินการเสวนาโดย รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม หัวหน้าโครงการฯ

และพิธีปิดโครงการ มอบโล่รางวัลและเกียรติบัตร ให้กับคุณครู ที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมประกาศทิศทางอนาคตหลักสูตรการรู้เท่าทันสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน ก่อนปิดโครงการฯ ซึ่งโครงการ “สร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ดำเนินการโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และมูลนิธิสภาการสื่อมวลชน  ร่วมกับภาคี ประกอบด้วย  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หนังสือพิมพ์มติชน หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หนังสือพิมพ์ประชามติ จ.ตราด หนังสือพิมพ์เพชรภูมิ จ.เพชรบุรี หนังสือพิมพ์หัวหินสาร จ.ประจวบคีรีขันธ์ หนังสือพิมพ์ภาคใต้โฟกัส จ.สงขลา หนังสือพิมพ์ส่องใต้นิวส์ จ.สตูล หนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ จ.เชียงใหม่ หนังสือพิมพ์ปทุมมาลัย จ.อุบลราชธานี  ได้จัดอบรมครูที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 200 คน ก่อนนำความรู้และทักษะไปจัดกิจกรรมกับนักเรียน โดยมีนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาเข้าร่วมโครงการกว่า 4,500 คน