การสื่อสารภายใต้สถานการณ์วิกฤต นักวิชาชีพเชื่อมั่นสื่อวิชาชีพยังเป็นแหล่งตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง

รายการ “รู้ทันสื่อ” กับสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ประจำวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 ทาง MCOT NEWS FM 100.5 พูดคุยเรื่อง “อีกครั้ง กับการสื่อสารภายใต้สถานการณ์วิกฤต” ดำเนินรายการโดย ณรงค สุทธิรักษ์ และ สืบพงษ์ อุณรัตน์ ผู้สนทนาประกอบด้วย ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ และอดีตบรรณาธิการ เดอะ เนชั่น ปฐพร ทรัพย์ไพฑูรย์ อนุกรรมการฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และอดีตบรรณาธิการบริหาร The Nation Thailand ดร.รัชดา ธนาดิเรก อดีตรองโฆษกรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ทนง ขันทอง ​อัปเดตสถานการณ์ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีสงครามใหญ่ในตะวันออกกลาง เพราะขณะนี้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา กำลังพิจารณาว่า จะส่งกองทัพสหรัฐฯ ไปบอมบ์อิหร่านหรือไม่ โดยขอเวลา 2 สัปดาห์ ในช่วงเวลานี้ เรากำลังเห็นกองทัพสหรัฐฯ ส่งยุทโธปกรณ์ โยกย้ายทหารเข้าไปในตะวันออกกลาง เหมือนเตรียมความพร้อมที่จะโจมตีอิหร่าน โดยทรัมป์ย้ำว่า จะไม่ยอมให้อิหร่านพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ ไม่ว่าจะเพื่อพลังงาน หรือเป็นอาวุธก็ตาม นี่คือความขัดแย้งดั้งเดิม

ก่อนหน้านี้ อิสราเอลโจมตีอิหร่านเมื่อ 13 มิ.ย.2568 โดยอ้างว่าอิหร่านใกล้บรรลุความสำเร็จ ในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไปโจมตี ก่อนวันที่ 13 มิ.ย. และลอบสังหารระดับผู้นำ ผู้บังคับบัญชาการทหารของอิหร่านตาย 8-9 คน รวมทั้งฆ่านักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิ 2-3 คน รวมทั้งบอมบ์โรงงานพลังงาน สถานที่ยุทธศาสตร์ของอิหร่าน แบบไม่ให้ตั้งตัว

อีกทั้งส่งกองกำลัง หน่วยรบพิเศษ 300 กว่าคน ใช้โดรนโจมตี ยิงขีปนาวุธ และระบบป้องกันภัยทางอากาศ รวมทั้งจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ทั้งหลายทั่วประเทศอิหร่าน จุดประสงค์เพื่อจะเปิดทางให้กองทัพอากาศของอิสราเอล นำเครื่องบินรบ 200 ลำเข้าไปถล่มอิหร่านในวันดังกล่าว เพื่อให้หมัดเดียวน็อก เพราะหากทำลายระบบป้องกันภัยทางอากาศได้หมด อิหร่านก็จะกลายเป็นเป้านิ่งให้ฝูงเครื่องบินรบโจมตีได้อย่างง่ายดาย แต่อิหร่านก็ตั้งหลักได้ แม้ว่าจะเสียระดับผู้นำผู้บัญชาการ แต่ยังมีตัวตายตัวแทน หลังจากนั้นก็ตีโต้ ยิงขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอล 

สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ที่ดำเนินมา 8 วัน หลังจากวันที่ 13 มิ.ย. ปรากฏว่าอิสราเอลเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เนื่องจากระบบป้องกันภัยทางอากาศ ระบบไอออนโดม (Iron Dome) ไม่สามารถป้องกันขีปนาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียง อาวุธไฮเปอร์โซนิก (Hypersonic Weapon) ของอิหร่านได้

เมืองไฮฟา ซึ่งเป็นเมืองท่าของอิสราเอลพังพินาศ ฐานทัพถูกบอมบ์จนเครื่องบินเครื่องบินรบของอิสราเอล ต้องนำไปจอดที่ไซปรัสประเทศข้างเคียง ส่วนเมืองหลวงของอิสราเอล เทลอาวีฟ ถูกทำลายไปประมาณ 1 ใน 3 หากสงครามยังยืดเยื้อลักษณะนี้ อีกไม่นานอิสราเอลคงพินาศย่อยยับ 

อย่าลืมว่าอิหร่านมีขนาดใหญ่ประมาณ 70 เท่า เกือบเท่ายุโรปตะวันตก ประชากร 90 กว่าล้านคน ขณะที่อิสราเอลมีพื้นที่เล็กนิดเดียวประชากรประมาณ 7 ล้านคน ไม่สามารถต้านทานขีปนาวุธได้นาน ขณะเดียวกันระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลกำลังร่อยหรอ ขีปนาวุธที่ยิงขึ้นไปสกัดก็ลดน้อยลงทุกวัน อิสราเอลจึงต้องการความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาโดยด่วน คาดว่าหลังจากที่โจมตีวันที่ 13 มิ.ย.แล้ว สหรัฐฯ จะส่งกองกำลังทหารเข้าไปช่วย

ตอนนี้ชะตากรรมของโลก จะเกิดสงครามใหญ่ระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านหรือไม่ เพราะทางประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดีมีร์ ปูติน ได้โทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งสัญญาณเตือนว่า หากสหรัฐอเมริกาโจมตีอิหร่าน ทางรัสเซียจะไม่นิ่งดูดาย แต่จะให้ความช่วยเหลืออิหร่านอย่างเต็มที่ จีนก็ให้ความช่วยเหลือเช่นกัน รวมทั้งปากีสถาน ก็ออกคำขู่ว่า ถ้าหากอิสราเอลใช้นิวเคลียร์ยิงอิหร่าน ปากีสถานก็จะใช้นิวเคลียร์ถล่มอิสราเอล 

เพราะฉะนั้นสถานการณ์ตอนนี้ ตึงเครียดมาก กลัวว่าจะโจมตีอิหร่านเมื่อใด แต่คิดว่าคงหลังจากที่สหรัฐอเมริกาเตรียมความพร้อมเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ ในพื้นที่ตะวันออกกลาง

สำหรับบทสรุปความขัดแย้ง มีความเป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง คือจะจบด้วยการเจรจา หรือทั้งสองฝ่ายจะสู้กันเต็มที่ เพราะมีแบคอัพกันทั้งคู่ มีความเป็นไปได้ทั้ง 2 อย่าง 

ในช่วงที่ผ่านมาอิหร่านก็เจรจากับสหรัฐอเมริกาแล้วในเรื่องนิวเคลียร์ แต่เรื่องการเจรจา อิสราเอลก็ถือโอกาสในช่วงอิหร่านการ์ดตก ถล่มอิหร่านในวันที่ 13 มิ.ย. ฉะนั้นอิหร่านก็เกรงว่า ถ้าหากมีการเจรจาก็อาจจะเป็นแผน เล่ห์กลในการยืดเวลาให้อิสราเอล หรือกองทัพสหรัฐฯ หรือกองทัพของนาโต้ เข้าไปให้ความช่วยเหลือ เพื่อตีโต้อิหร่านอีก ฉะนั้นจุดนี้ให้น้ำหนักว่า การเจรจาน่าจะไม่ประสบความสำเร็จ โอกาสสงครามใหญ่มีมากกว่า

ขณะที่อิสราเอลประมาท เพราะมีสหรัฐอเมริกาคุ้มครองอยู่ ขณะที่เพื่อนบ้านทั้งหมดส่วนมากก็มีฐานทัพคุ้มครองดูแลในตะวันออกกลาง ทั้ง จอร์แดน ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ ยูเออี บาห์เรน คูเวต ต่างก็รายล้อมไปด้วยฐานทัพของสหรัฐอเมริกา ซึ่งปกป้องอิสราเอลเหมือนไข่ในหิน อิสราเอลจึงฉวยโอกาสในการทำสงครามกับเพื่อนบ้านอย่างซีเรีย อิรัก เลบานอน ซึ่งอิสราเอลก็มีส่วนในการล้มล้างระบอบการปกครองในกลุ่มประเทศนั้น เพื่อทำให้อ่อนแอทั้งหมด อิสราเอลจะได้เป็นใหญ่ในภูมิภาคนี้ 

เหลือแต่อิหร่าน เป็นจิ๊กซอว์ที่เป็นอุปสรรคของความเป็นใหญ่ ในการครองความเป็นเจ้าในตะวันออกกลาง อิสราเอลจึงเปิดฉากในการทำสงครามกับอิหร่านในที่สุด เหมือนกับว่ามาถึงจุดที่จะต้องตัดสินแล้วว่า ใครจะเป็นเจ้าในตะวันออกกลาง เพราะไม่คิดว่าอิหร่านจะมีความแข็งแกร่ง เพราะตลอดเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมา ที่อิหร่านถูกถูกโดดเดี่ยวจึงมุ่งมั่นพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ ทางด้านผลิตอาวุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดรน รวมทั้งขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ตอนนี้โดรนของอิหร่าน พัฒนาก้าวไกลมาก สหรัฐอเมริกายังตามไม่ทัน แม้แต่รัสเซียยังต้องขอยืมไปใช้ ในการทำสงครามกับยูเครนด้วยซ้ำ

สื่อรัฐ สื่อหลัก มีบทบาทในความขัดแย้ง

ขณะที่มุมมองของ ปฐพร ทรัพย์ไพฑูรย์ ในการทำงานของคนสื่อ โดยเฉพาะการนำเสนอข่าว เรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศว่า ยากมาก และเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะความขัดแย้งระหว่างประเทศ มีหลายตัวแสดง อย่างกรณีไทย-กัมพูชา มีตัวแสดงของรัฐ ทั้งนายกฯ รัฐมนตรี ทูต รวมถึงสื่อ ที่ถือว่ามีบทบาทมาก 

ในช่วงที่ผ่านมา การสร้างกระแสชาตินิยม ในสื่อทั้งฝั่งกัมพูชาและของไทย มีผลทำให้สถานการณ์บานปลาย แม้ในความเป็นบุคคลอาจมีอคติ แต่ถ้าเป็นสื่อจะต้องมองว่า วิชาชีพของเราจะมีผลกระทบ ต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนนำเสนอ อย่าแพ้ความเร็ว แม้สื่อสมัยนี้จะถูกกดดันเรื่องเอ็นเกจเมนต์ ต้องรีบลงข่าว ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือไม่ แต่ลงก่อน แล้วค่อยมาขอโทษก็ได้

อย่างกรณีนี้ มีสื่อใหญ่ลงข่าวว่า ไทยลดระดับความสัมพันธ์กัมพูชา ซึ่งข่าวที่เป็นเนื้อหาด้านลบจะแพร่ไปสู่คนได้เร็วมาก มีการแชร์ไปเป็น 1,000 ครั้ง กดไลก์เป็น 10,000 ครั้ง จนถึงวันนี้โพสต์ดังกล่าว มีการชี้แจงจากกระทรวงการต่างประเทศแล้วว่าไม่เป็นความจริง แต่ไม่ลบ หรือแก้ไขข่าวนี้ จึงเกิดความคลาดเคลื่อนในระดับประเทศ ระดับต่างประเทศไปแล้ว ฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า นอกจากตัวแสดงที่เป็นรัฐแล้ว ตัวแสดงที่เป็นสื่อเอง ก็มีส่วนอย่างมาก ในความขัดแย้งระหว่างประเทศ 

สื่อสารภาครัฐประสิทธิภาพน้อยกว่า

คำว่ากระบวนการสื่อสาร ในหน่วยงานภาครัฐ ในบ้านเรา เมื่อเทียบกับกัมพูชา ที่ถูกมองว่าประสิทธิภาพเราน้อยกว่า ความรวดเร็วที่จะสื่อสารเพื่อแก้ไขบางประเด็น ยังทำได้ช้า มองอย่างไร ปฐพร กล่าวว่า ถ้ามองอย่างเป็นกลาง ตนไม่ตำหนิติเตียน ฝั่งกัมพูชาเองแม้จะค่อนข้างแอ็กชั่นเร็ว อาจเป็นเพราะไม่ต้องไตร่ตรองข้อมูล ไม่ต้องผ่านการอนุมัติเป็นชั้นๆ แต่ละคนสามารถพูดอะไรออกมาก็ได้ อย่าง ฮุน เซน มีอำนาจ สามารถพูดออกมาได้ 

ขณะที่ฝั่งไทย การสื่อสารเชิงภาวะวิกฤติของเรา เมื่อไปดูข้อมูลที่เป็นส่วนกลาง รัฐบาลก็จะใช้ผ่านเพจไทยคู่ฟ้า ติดตามสถานการณ์ขั้นสูง ใครมีสิทธิ์อัปเดตข้อมูลรายวัน ส่วนนายกฯ ก็โพสต์ผ่านช่องทาง Facebook ของตัวเอง ส่วนกระทรวงการต่างประเทศในฐานะตัวแสดงรอง ก็อัปเดตสถานการณ์เกี่ยวกับเรื่องชายแดนกัมพูชา-ไทย และอิหร่านในตะวันออกกลางอยู่ตลอด หากมองตรงนี้ ฝั่งของไทยเอง ก็ทำตามขั้นตอนของตัวเอง ค่อนข้างดีแล้ว 

โจทย์สำคัญ ปชช.รู้สึกยังดีไม่พอ

เพียงแต่ฝั่งผู้รับสาร หรือประชาชน อาจจะรู้สึกว่าไม่ดีพอ เพราะในปัจจุบันช่องทางการกระจายข่าวมีมากมาย บางทีเราอาจจะไม่ได้กดติดตามเพจเหล่านั้น ซึ่งอาจเป็นโจทย์ของฝั่งรัฐบาลว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นเรื่องจริงของตัวเอง ส่งไปถึงประชาชนได้ โดยไม่แพ้ข่าวลือต่างๆ อาจจะเป็นโจทย์ยากในโซเชียลมีเดีย เพราะประชาชนจะฟังอินฟลูเอ็นเซอร์ที่มีแนวคิดคล้ายกับตัวเอง เหมือนตัวเราที่ชอบฟังคนที่มีความคิดคล้ายๆ กับเรา จึงอาจต้องแก้ทั้งสองทาง

กรณีโซเชียลมีเดียของนายกฯ เพจไทยคู่ฟ้า หรือโซเชียลมีเดียที่รัฐบาลใช้อยู่ ข้อมูลที่ออกมาจากสื่อเหล่านี้ คนก็มองว่าเป็นสื่อรัฐบาลไทย อย่างไรก็ต้องเข้าข้างรัฐบาลอยู่แล้ว จึงกลายเป็นว่า ประชาชนต้องไปเลือกดูจากสื่ออื่นๆ ด้วย และพฤติกรรมการเลือกรับสารของคนไทยที่ผ่านมา ก็ต้องการข่าวหวือหวา สั้นๆ กระชับ 

รัฐบาลทุกระดับต้องใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน

ในอีกด้าน ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า สื่อทางฝั่งกัมพูชานำเสนอเนื้อหาค่อนข้างหวือหวากว่า และเลือกเรื่องเล่าแต่ในมุมของเขาเอง เพื่อดึงกระแส ไม่เน้นการนำเสนอข้อมูลฝั่งไทย หากเราไม่ทำบ้างอาจถูกกระแสเขาชี้นำได้หรือไม่ ปฐพร มองว่าเราจะสู้ได้ก็ต่อเมื่อ เราสู้ในเรื่องข้อมูลข่าวสาร ที่บาลานซ์ ในระดับระหว่างประเทศให้มากขึ้น ทุกระดับของรัฐเอง ก็ต้องใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน ที่เหมือนกัน หากข้อมูลไม่ตรงกัน ประชาชนจะสับสนว่า อะไรจริง ไม่จริง

ขณะเดียวกัน สถานการณ์นี้ สื่ออาชีพอาจจะต้องไปวิ่งไล่สู้กับอินฟลูเอ็นเซอร์ เพราะอายบอล อยู่บนโซเชียลมีเดียเหล่านี้หมด จึงยากที่จะบังคับ ไม่ให้ใช้ความหวือหวา ก็น่าจะส่งผลกับพฤติกรรมของคนในสังคมพอสมควร เพราะถ้าไม่หวือหวา อัลกอริทึมก็ไม่ส่งไป อาจจะต้องเป็นเรื่องที่ช่วยกันคิดต่อไป

เมื่อถามถึงภาพรวมการนำเสนอข่าวสื่อในสถานการณ์นี้ เป็นอย่างไร ปฐพร มองว่า สื่อหลักๆใหญ่ๆ ที่มีความเป็นวิชาชีพสูง ค่อนข้างนำเสนอได้ดี รอบด้าน ไม่เอาความชาตินิยมกระหน่ำ ทำให้ผู้รับสารไม่สามารถมองข้อมูลได้อย่างตรงไปตรงมา สุดท้ายจะเกิดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น เพราะฉะนั้นสื่อหลักๆ ใหญ่ๆ ที่ไม่เน้นความหวือหวา นำเสนอข้อมูลตรงไปตรงมา สุดท้ายคนก็จะวนกลับมาหาสื่อหลักอยู่ดี

“เราไม่ต้องไปวิ่งเหมือนอินฟลูเอนเซอร์ ที่อย่างไรก็สู้ไม่ได้ การใช้โทน การใช้ภาษา ที่หวือหวากว่า ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งตามเขา เรายืนอยู่ในที่ของเราแบบนี้ เป็นสื่ออาชีพต่อไป สุดท้าย คนก็จะกลับมาตรวจสอบ ความน่าเชื่อถือจากสื่อหลัก” ปฐพร ระบุ

สงครามข่าวสาร รัฐไทยสู้ไม่ได้ 

ด้าน ดร.รัชดา ธนาดิเรก มองว่าสถานการณ์เวลานี้ จะมีสงครามสื่อสารระหว่างไทยกับกัมพูชา เรียกว่าสงครามโวหาร ก็ว่าได้ ทั้งเรื่องการใช้คำพูด การใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง บิดเบือน ยกระดับไปเกินกว่าเหตุของฝ่ายศัตรูของเรา รวมถึงการใช้ช่องทางการสื่อสาร ที่เขาต้องการจะบอกคนในชาติเขา บอกคนชาติอื่นๆ ที่เราสู้เขาไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องแก้ไขด่วน

เรื่องของการสื่อสาร ผู้ส่งสารต้องเป็นคนที่พูดแล้วรู้เรื่อง รู้ในสิ่งที่พูด พูดแล้วคนเชื่อ มีความน่าเชื่อถือ สาระที่พูดในยามสถานการณ์นี้ต้องชัดเจน หนักแน่น บวกกับความแข็งกร้าวที่ไม่ใช่เป็นผู้รุกราน แต่ความแข็งกร้าวต้องมีการสื่อสาร เพราะเราไม่ได้สื่อสารแค่ระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาเท่านั้น แต่ต้องการสื่อสารให้คนในชาติเข้าใจสถานการณ์ความเป็นจริง รวมถึงสื่อสารไปยังคนนอกประเทศไทย และองค์กรระดับโลกด้วย

เพราะฉะนั้น จึงมีความซับซ้อน ละเอียดอ่อน แต่เราวิกฤตตั้งแต่คนพูด ตั้งแต่ตัวนายกฯ ที่เป็นปัญหาสั่งสมมา คนมั่นใจในความสามารถ ไม่เชื่อถือในศักยภาพการบริหารประเทศในภาพรวม พอมาในสถานการณ์เช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวชินวัตร กับครอบครัวฮุน เซน เพราะมันมาผนวกกันทั้งหมด ทำให้นายกฯ ไม่มีความน่าเชื่อถือ ในการบริหารจัดการเรื่องนี้ และยิ่งออกมาพูด ยิ่งพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ความน่าเชื่อถือไม่มี กระบวนการสื่อสารก็ต้องวิกฤตแน่นอน

หวังศูนย์ศบ.ทก.แก้สถานการณ์ได้

นอกจากนี้ ตามแนวทางในการให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไทย-กัมพูชา ดูเหมือนรัฐบาลไม่ได้พึ่งทีมงานโฆษก เพราะตั้งศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ที่มี รมช.กลาโหม (พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์) มาดูแล ลักษณะนี้จากครอบคลุมกับการให้พลเรือนมาให้ข้อมูลแทนหรือไม่ คล้ายกับสมัยโควิด ที่เรามีศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) และมีโฆษกที่เป็นแพทย์ มีกระบวนการทำงานเอาคนที่น่าเชื่อถือ มาตอบทุกข้อสงสัย เพื่อสร้างความมั่นใจต่อสถานการณ์

กรณีกัมพูชา ปัญหาของไทยคือ เราไม่ไว้ใจคนที่ออกมาพูดของรัฐบาล ตั้งแต่ รมว.กลาโหม รมว.การต่างประเทศ โฆษกรัฐบาล เราไม่ได้พูดถึงว่า เขาพูดไม่เก่ง แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความมั่นใจเรามีน้อยมาก ฉะนั้นการที่มีทหาร ข้าราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรง และวันนี้สังคมเชื่อมั่นการทำงานของกองทัพอย่างมาก การมีศูนย์เฉพาะกิจขึ้นมา ช่วยได้มาก แต่ก็เป็นธรรมชาติของโลกยุคปัจจุบันที่ว่า เราสนใจเรื่องที่หวือหวา แม้จะมีศูนย์ขึ้นมาให้ข้อมูล แต่ใครจะฟัง จะมีกี่คนไปตามไลฟ์สดของศูนย์ ศบ.ทก. ทั้งที่เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล แต่มีแล้วดีเพียงแต่ในเมื่อคนไม่ไปตาม ไม่ไปแชร์ ไปขยายความ ผลลัพธ์มันก็น้อยอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ต้องมีกลไกอื่นเข้ามาช่วย

หนุนสู้ศึกข้อมูลข่าวสารด้วยหลักฐาน

โดยเฉพาะวันนี้ เราต้องทำสงครามข้อมูลข่าวสารกับอีกฝ่ายหนึ่ง เค้าทำให้เกิดปัญหาในสังคมไทย ซึ่งสังคมไทยเราไม่ได้แตกแยก แต่มันก็ทำให้สังคมของเรามีการถกเถียงในหลายเรื่อง ในยามศึกสงครามประมาณนี้ไม่ควรจะมีทั้งที่ หากฮุน เซน ทำให้หงุดหงิดได้ เราก็ทำให้คนของเค้าป่วนได้ เช่น การที่เรามีหลักฐาน ว่าแผ่นดินรอบปราสาทตาควาย ตาเมือนธม เราเอาภาพมาแชร์ กองทัพไซเบอร์เรามีศักยภาพสูง อย่างไรก็จะไปถึงคนกัมพูชา และให้รู้กันไปเลยว่า คุณมีผู้นำประเทศแบบไหน ก็ต้องสู้กัน เราก็ต้องมีลูกเล่นอย่างอื่น ลองนึกถึงสงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย ประเทศที่มีความขัดแย้ง เค้าทำไอโอกันเต็มที่ เราก็ต้องทำบ้าง ให้รู้กันไป จนกว่าจะดีกันได้

ในยามนี้ ไม่ได้อยากยุยงให้คนไทยต้องไปทะเลาะกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถ้าเรามองกลับกัน การที่ฮุน เซนมาขู่ว่า จะเปิดคลิปนักการเมือง มีธุรกิจสีเทา พฤติกรรมไม่ชอบ ในประเทศไทย อยากให้แฉ เราอยากทำให้การเมืองของเราโปร่งใส ถ้ามีข้อมูลก็บอกมา ขณะเดียวกัน เราก็อยากทำให้คนในประเทศเขาตาสว่างเหมือนกัน การที่เราเอาความจริงมาเผยแพร่ เราไม่ได้ไปใส่ร้าย เขาก็ต้องใจกว้าง ควรจะต้องขอบคุณเรา เพื่อจะได้รู้ว่า การที่ประเทศคุณอยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการแบบนี้มาเป็นชั่วโคตร คุณได้อะไรบ้าง

ปชช.สู้ศึกข่าวสารแทนรัฐ

ต่อข้อถามถึงข้อมูลระหว่างไทย-กัมพูชา ที่มีน้อย ไม่มีศูนย์ที่รวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง สื่อและภาคประชาชนต้องไปสืบค้นกันเองเพื่อนำไปคัดง้างกับฝ่ายกัมพูชา ดร.รัชดา เห็นพ้องและมองว่าควรเป็นการดีไซน์ออกมาจากภาครัฐ ว่าถ้าเราจะทำไอโออันนี้แล้ว ประชาชนพร้อมใจ พร้อมร่วมมือ หากเรามีข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลว ความบกพร่องของกัมพูชา เราช่วยกันกระจาย แล้วไปถึงต่างชาติแน่นอน แต่ยังไม่ค่อยจะออกมา

“มันมาจากการที่พวกเราขุดค้นกันเองเอาภาพ Google มาเทียบสมัยก่อนจะถูกรุกเข้ามา หรือจุดที่เคยมีเก็บเงิน คนกัมพูชาจะเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือน มีรูปด่านเก็บเงิน มีเคยมีภาพนั้น แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ก็ต้องขุดภาพมายืนยันว่า เป็นพื้นที่ประเทศไทย แต่ทุกวันนี้กลายเป็นว่า การปล่อยข่าวทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ทำได้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เรื่องที่ปล่อยข่าวกับประเทศที่กำลังจะทำไม่ดีกับไทย ทำไมไม่ทำกันเลยถือว่าเป็นความล้มเหลวในเรื่องการต่อสู้ในทางศึกข้อมูลข่าวสาร เรื่องอย่างนี้ เราอาจจะเพลี่ยงพล้ำแต่ยังไม่สายเกินไป” ดร.รัชดา กล่าว

แนวปฏิบัติการสื่อสารของรัฐ

เมื่อถามถึง แนวปฏิบัติเรื่องหลักการสื่อสารของรัฐบาล ทุกรัฐบาลกำหนดไว้หรือไม่ว่า การสื่อสารในสถานการณ์ปกติอย่างไร สถานการณ์วิกฤตสื่อสารแบบไหน สถานการณ์ฉุกเฉินต้องทำอย่างไร ดร.รัชดา กล่าวว่า ในแต่ละรัฐบาล มีหลักอยู่แล้ว 

1.เวลามีวิกฤต มีปัญหาที่ซับซ้อนหลายมิติ สิ่งหนึ่งต้องมีคือศูนย์กลางรวบรวมข้อมูล เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลที่จะให้ความเป็นจริงให้ประชาชนรับทราบ เวลาที่มีข้อสงสัย หรือมีเฟกนิวส์เกิดขึ้น ศูนย์นี้จะต้องเป็นจุดศูนย์กลาง

2.คนทำหน้าที่สื่อสาร จะต้องเป็นคนที่พูดแล้วมีความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่คนเห็นแล้วปิด ปัดทิ้ง มันไม่ได้โดยธรรมชาติ คนฟังถ้าไม่ชอบหน้าคนพูด ก็จะไปจับประเด็นเล็กประเด็นน้อย ซึ่งในสถานการณ์สำคัญแบบนี้ จะไปมัวปลีกย่อย เรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่ได้ รัฐและแมสเสจจะต้องถ่ายทอดไปให้ถึงประชาชนอย่างถูกต้องและครบถ้วน ดังนั้นศูนย์กลาง ข้อมูลจากคนพูด ให้น้ำหนัก เป็น 2 สิ่งที่สำคัญมาก 

3.เรื่องของการทำไอโอ อย่าไปมองเรื่องการสื่อสารเป็นเพียงแค่ภาวะการสื่อสาร แต่ต้องมองว่าสื่อสารคือส่วนหนึ่งของ information และ information is Power การสร้างอำนาจของแต่ละชาติ นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ การทูตแล้ว การใช้ข้อมูลข่าวสารก็คือ อาวุธอีกอย่างหนึ่งของประเทศ แล้ว information ในยุคนี้ ไม่ใช่ส่งคนไปจารกรรม ไปแฮ็กข้อมูล หรือไปเป็นนักสืบแบบสมัยโบราณ ไม่ใช่เท่านั้น เราสามารถเข้าไปเจาะ แทรกแซงให้คนในชาติเขา รู้สึกถึงความไม่มั่นใจ ในตัวผู้นำประเทศเขาได้

การสื่อสารให้ทันสถานการณ์ ดร.รัชดา ระบุว่า เรื่องนี้ต้องมาจากธงของนายกรัฐมนตรี ของรัฐบาล หากฝั่งโน้นทำอะไรเสียมารยาท มีพฤติกรรมแย่ เราต้องชัดเจนว่า จะตอบโต้ในระดับไหน คำพูดแบบไหน ต้องเตรียมการ แต่ไม่ใช่คำพูดอันรุนแรงจากฝ่ายราชการ.