นักวิชาการแนะ ข่าวสูญเสีย ข่าวอ่อนไหว สื่อต้องใช้หัวใจในการรายงาน

รายการ รู้ทันสื่อกับสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ประจำวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2568 ทาง MCOT NEWS FM 100.5 พูดคุยเรื่อง “เมื่อคนทำข่าว กลายเป็นข่าว” ดำเนินรายการโดย ณรงค สุทธิรักษ์ และจินตนา จันทร์ไพบูลย์ ผู้ร่วมสนทนา รศ.สุรสิทธิ์ วิทยารัฐ กรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ คณิศ บุณยพานิช บรรณาธิการบริหาร สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

จากกรณี สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ ออกแถลงการณ์ เรียกร้องความรับผิดชอบจากสื่อมวลชน ต่อการรายงานข่าวบิดเบือน และละเมิดศักดิ์ศรีของพยาบาลผู้เสียชีวิต ถูกฆาตกรรมในห้องพัก บนเกาะสมุย      จ.สุราษฎร์ธานี หลังกลับจากปฏิบัติหน้าที่ในหอผู้ป่วย ต่อมาคณะกรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ได้พิจารณาเรื่องได้กล่าว และส่งเรื่องให้องค์กรสมาชิกที่นำเสนอข่าวดำเนินการตามธรรมนูญ พร้อมเสนอตั้งคณะทำงานทบทวนแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง พร้อมขอความร่วมมือสื่อต่างๆ ให้ระวังการเสนอข่าวที่ละเอียดอ่อน

รศ.สุรสิทธิ์ วิทยารัฐ ในฐานะกรรมการจริยธรรม ระบุว่าคณะกรรมการจริยธรรม ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยจากการตรวจสอบทราบว่าสื่อที่นำเสนอข่าวตามแถลงการณ์ดังกล่าว เป็นองค์กรสมาชิกของสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ซึ่งตามธรรมนูญสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 เรื่องการพิจารณาเรื่องร้องเรียน จะดำเนินการส่งเรื่องให้คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนภายในองค์กรขององค์กรสมาชิกดังกล่าว เพื่อดำเนินการตามกระบวนการ 

โดยกำหนดให้ต้องพิจารณาเรื่องร้องเรียนให้เสร็จสิ้นใน 30 วัน และแจ้งกลับมายังสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป แต่คาดว่าไม่น่าจะใช้เวลาในการพิจารณาดำเนินการมาก เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน

นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังเห็นว่ากรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับการรายงานข่าวอาชญากรรมที่ละเอียดอ่อน โดยเฉพาะกรณีที่มีผู้เสียชีวิต จึงได้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาทบทวนแนวปฏิบัติการรายงานข่าวที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความละเอียดอ่อน และผลกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้เสียหาย หรือผู้เสียชีวิตและญาติ และยังเห็นควรให้ขอความร่วมมือสื่อมวลชนให้ระมัดระวังในการนำเสนอข่าวประเภทนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบในลักษณะดังกล่าวในอนาคต 

รศ.สุรสิทธิ์ ยังกล่าวถึงมุมมอง ในฐานะนักวิชาการด้านสื่อด้วยว่า เรื่องอุดมคติการกำกับดูแลกันเองของสื่อ เป็นปัญหาที่ยากลำบาก เนื่องจากวิชาชีพสื่อที่กำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรม ไม่มีโทษที่เป็นรูปธรรมตามกฏหมายใดๆ ความเป็นเป็นสมาชิก ต้องมาจากความพร้อมใจ 

กระบวนการทำงานของวงการสื่อ ที่เป็นขนบบางอย่าง มีข้อสังเกตว่า ข้อความในการรายงานข่าวที่เกิดขึ้น ไม่ได้ตรวจสอบ คือมาอย่างไร ไปอย่างนั้น เพราะมีข้อความชุดหนึ่ง ที่สื่อนำเสนอเหมือนกัน โดยพาดพิงถึงผู้เสียชีวิต บรรยายสภาพที่เกิดเหตุ และผู้เสียชีวิตอย่างละเอียด อ้างว่ามาจากแหล่งข่าว บางส่วนก็อ้างว่ามาจากพยานใกล้ชิดเหตุการณ์ให้ข้อมูล

ทั้งหมดเป็นข้อความชุดเดียวกัน ที่นำเสนอแทบทุกสื่อ นี่คือวิธีการทำงานของสื่อปัจจุบันที่เป็นอยู่ คือได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวแหล่งเดียวส่งข่าวไปในหลายช่องทาง สื่อส่วนกลางที่ได้รับ ก็เสนอข้อมูลจากสื่อระดับพื้นที่ ด้วยข้อความเดียวกัน ซึ่งเป็นความเสียหาย มากไปกว่านั้น ยังนำไปขยายต่อในรายการข่าว ลักษณะเล่าข่าว ขยี้ข่าว เป็นจุดขาย ที่ทำให้คนสนใจ ได้เรตติ้ง ตามตำราว่าด้วยเรื่องอาชญกรรม เรื่องเพศ

แนะสื่อรายงานพลาดรับผิดชอบ

รศ.สุรสิทธิ์ ยังชี้ให้เห็นจุดอ่อนของข่าวลักษณะนี้ ในช็อตแรกที่ได้ข้อมูล และช็อตต่อไป ที่ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมความคืบหน้า จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะช็อตหลังๆ ต่อมา เมื่อข้อเท็จจริงชัดเจนขึ้น ก็พบว่านำไปสู่ความเสียหาย 

สำหรับสื่อใดๆ กรณีที่พบว่ารายงานข้อมูลผิดพลาด ด้วยเหตุใดๆ ต้องยอมรับ และประกาศให้สังคมรู้ว่า เป็นการรายงานผิดพลาด ไม่ต้องรอให้มีการร้องเรียนเข้ามา ถึงจะแสดงความรับผิดชอบ และยังเป็นผลต่อการทำงาน ที่จะไม่ทำผิดซ้ำ หากปล่อยผ่าน ก็อาจกลับมาผิดซ้ำได้อีก

สำหรับผู้เสียหาย แม้สื่อจะแก้ข่าว ยอมรับผิด และถูกโซเชียลแซงชั่น แต่ในเรื่องนี้ ไม่ใช่ผิดเฉพาะจริยธรรมวิชาชีพ แต่ผิดกฎหมายในมาตรา 327 การใส่ความผู้ตาย ซึ่งมีกฎหมายหมิ่นประมาท ที่ครอบครัวผู้เสียชีวิต เป็นผู้เสียหาย สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ ก็จะเป็นอุทาหรณ์ให้กับสื่อที่รายงานโดยไม่ระมัดระวัง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ในส่วนหนึ่ง 

ต้องระวังประมวลข้อมูล-พยานแวดล้อม

ด้านผู้บริหารสื่อ คณิศ บุณยพานิช มองว่า ปรากฏการณ์ข่าวนี้ เป็นข่าวอาชญากรรมประเภทหนึ่ง เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็สอดคล้องกับทางสมาคมพยาบาลฯ แถลงการณ์ และเห็นความคลาดเคลื่อนของการรายงานข่าว ที่มีเนื้อหาเกินเลยกว่าข้อเท็จจริง

คณิศ ระบุว่ากระบวนการทำงานในข่าวลักษณะนี้ คือหาข้อมูล เก็บภาพ คุยรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ และสำคัญคือสไตล์การทำงานของนักข่าวอาชญากรรม ต้องหาพยานแวดล้อมประกอบด้วย ซึ่งการทำงานก็เหมือนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทำงานเชิงลึก มีการตรวจสอบรายละเอียดมากกว่า

ส่วนการเข้าถึงแหล่งข่าวที่เป็นพยานแวดล้อมที่เกิดเหตุ ผู้สื่อข่าวก็พยายามหาข้อมูล ทั้งที่เกิดเหต สาเหตุ รายละเอียด เข้าใจได้ว่า ผู้สื่อข่าวจำนวนหนึ่ง ที่ไปรายงานข่าว ก็พยายามหาข้อเท็จจริงผ่านพยานแวดล้อม จึงอาจคลาดเคลื่อนในช่วงแรกของการรายงานข่าว และหลังเกิดเหตุ 3-4 ชั่วโมงในวันนั้น วิธีการทำงาน การได้ข้อมูล จากพยานแวดล้อม อาจไม่ใช่พยานที่รู้เห็นจริงทั้งหมด อาจได้ข้อมูลจากการบอกต่อ หรือเล่าเรื่องผ่านกันมา 

ดังนั้น การประมวลข้อมูล หลักฐานแวดล้อม ในทางปฏิบัติงานข่าว นักข่าวจะต้องต้องใช้ความระมัดระวังมากพอสมควร เนื่องจากพยานแวดล้อมอาจจะไม่ใช่ประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ พยานอาจจะอยู่ในชั้นที่ 1-2-3-4 ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง ที่ไปกระทบกับผู้เสียชีวิตได้

ต่อข้อถามถึง การแข่งขันในการทำงานของสื่อ อาจเป็นสาเหตุของปัญหาหรือไม่ คณิศ มองว่า การแข่งขันกันถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ทำให้เกิดการพัฒนา การแข่งขันผู้สื่อข่าวก็มีความพยายามมากขึ้น หาชุดข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงมากขึ้น หลังๆ ก็พบว่า ไม่ได้แข่งกันอย่างเดียว แต่มีบางชุดข้อมูลที่เหมือนกัน อาจจะมีการแลกเปลี่ยนกัน จึงทำให้ชุดข้อมูลเหมือนกัน แล้วส่งต่อๆ กัน นี่คือสิ่งที่ต้องนำไปสู่การพูดคุยปรับแก้ในอนาคต

เสี่ยงละเมิดชีวิตส่วนตัวผู้เสียชีวิต

อีกประเด็น รายละเอียดของการทำข่าวอาชญากรรม ต้องเข้าใจหลักสำคัญว่า ต้องหาข้อเท็จจริง ต้องหาข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้น ฉะนั้นช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุ การรายงานขณะที่พบเห็น แต่มีประเด็นสำคัญ ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน สำหรับผู้เสียชีวิต เช่น พฤติกรรมส่วนตัว เรื่องราวชีวิตส่วนตัวของผู้เสียชีวิต หรือแม้แต่ผู้ต้องหาก็ตาม ต้องใช้ความระมัดระวัง ในการหาข้อมูล การตรวจทาน ก่อนนำเสนอ

แม้ว่า ในกรณีผู้ต้องหา ที่เรื่องส่วนตัว บางชุดข้อมูล อาจเป็นประโยชน์ สำหรับให้คนดู เห็นถึงพฤติกรรม การเป็นผู้กระทำความผิดว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร แต่สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะเรื่องราวส่วนตัว สื่อต้องใช้ความระมัดระวังมาก เพื่อไม่ไปตำหนิผู้เสียหายในภายหลัง หรือมีผลทำให้คนดู คนอ่าน แล้วจะคิดว่า เพราะเป็นอย่างนี้ ถึงเป็นแบบนี้ ซึ่งต่างจากกรณีที่เกาะสมุยล่าสุด ซึ่งข้อเท็จจริง ผิดมาตั้งแต่ชั้นต้น เพราะฉะนั้น ในเมื่อผิดมาตั้งแต่ต้น ต้องขอโทษ ต้องสอดคล้องกับสิ่งที่สมาคมพยาบาลฯ ระบุถึง

จริยธรรมวิชาชีพเป็นเรื่องสำคัญ

อย่างไรก็ตาม คำกล่าวที่ว่า ใครๆ ก็เป็นสื่อได้ในยุคนี้  หรือคนที่ทำหน้าที่ส่งข่าว แบบสตริงเกอร์ในภูมิภาค มีกล้อง มีมือถือ มีคอนเนชั่นกับผู้บริหารสำนักข่าวในส่วนกลาง ก็เป็นสื่อได้ มองประเด็นนี้อย่างไร คณิศ ระบุว่า สำหรับไทยพีบีเอส ได้แยกเป็น 3 ส่วน คือ 

1.ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น หรือผู้สื่อข่าวพิเศษ บางคนอาจมีหลายสังกัด มีรายได้จากการส่งข่าวให้สำนักข่าวหลายแห่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ 2.ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นบางคน มีกิจการส่วนตัว การเป็นผู้สื่อข่าวอาจจะไม่ใช่อาชีพหลัก ที่รับเงินเดือนจากการทำงานข่าวอย่างเดียว แต่กลุ่มนี้รายได้จากค่าข่าว ไม่พอต่อการเลี้ยงชีพ เขาย่อมมีอาชีพอื่นๆ อาจมีอาชีพประจำ และอาชีพทำข่าวเป็นอาชีพเสริม จะเรียกว่า ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นหรือสตริงเกอร์ 3.ผู้สื่อข่าวในโซเชียลมีเดีย ผู้สื่อภาคพลเมือง ที่มีพื้นที่การรายงานข่าวในโซเชียลมีเดียส่วนตัว สามารถนำเสนอต่อสาธารณะได้สามารถรายงานข้อมูลข้อเท็จจริงได้ เราจึงแยกเป็น 3 กลุ่มดังนี้

สำหรับ กรอบการทำงานของกลุ่มสตริงเกอร์ ที่มีสังกัดเป็นสำนักข่าวหรือสื่ออาชีพ ไทยพีบีเอส มีกระบวนการ 2 ส่วน ในการให้ความรู้คือเรื่องจริยธรรม และสัญญา 2-3 เรื่อง โดยในการยื่นประวัติ ต้องบอกว่า ทำอาชีพอะไร มีประสบการณ์อะไร 

ส่วนสำคัญ นอกจากการอบรมเป็นระยะแล้ว ระหว่างทางในการส่งข่าว จะมีการคัดกรอง เค้าก็เหมือนคนผลิต ที่ส่งข่าวเข้ามา มีโต๊ะข่าวภูมิภาคต้องดูแลคัดกรองเนื้อหา มี บก.ควบคุมกำกับ ติดตามเนื้อหา แบ่งปัน แชร์ข้อมูล อันไหนเขียนได้-ไม่ได้ ภาพไหนส่งได้-ไม่ได้ ต้องระมัดระวังอะไรบ้าง ระหว่างการส่งข่าวแต่ละวัน มีการพูดคุยต่อเนื่อง เป็นปกติของการทำงานรายวัน 

อีกส่วนสำคัญ คือเรื่องลิขสิทธิ์ ภาพ-เสียง-เนื้อหา ต้องมีที่มา ตรวจสอบได้ อันนี้อยู่ในสัญญาระหว่างไทยพีบีเอส กับสตริงเกอร์ สื่ออื่นก็อาจจะมีคล้ายกัน 

อาชญากรรมมีมุมประโยชน์ต่อสังคม

ประเด็นการแข่งขันของสื่อในยุคนี้ คณิศ มองว่า การรายงานข่าวเร็ว จนเกิดความผิดพลาด ไม่ใช่ปัญหาเดียวในยุคนี้ สิ่งสำคัญคือ วิธีคิด มุมมองการรายงานข่าวด้วย ที่สื่อต้องใช้ความระมัดระวังในการนำเสนอ  

ประเด็นที่หนึ่ง แม้จะยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง แต่ต้องระวังว่า จะรายงานแบบไหน เขียนอย่างไร นำเสนอแบบไหน เพื่อไม่นำไปสู่การตำหนิผู้อื่น โดยเขาไม่มีโอกาสชี้แจง

ประเด็นที่สอง กรณีที่เกิดเหตุในเกาะสมุย มีหลายมุมมอง ที่สื่อไม่ค่อยได้พูดถึงคือ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การที่ผู้หญิงคนหนึ่ง มาจากต่างจังหวัด ไปอาศัยอยู่ในอีกเมืองหนึ่งประกอบอาชีพด้วยความสุจริต ควรมีความปลอดภัย ไม่ควรเป็นเหยื่อคดีฆาตกรรม ที่จับผู้ต้องหาได้ ดำเนินคดี แล้วจบกัน แต่สื่อควรจะพูดถึงเรื่องความปลอดภัยในเมืองที่มีความหลากหลาย ในเมืองท่องเที่ยว ที่แม้แต่อาคารหอพักผู้หญิง มีความปลอดภัยหรือไม่ อย่างไร สื่อควรจะมองในมุมนี้เพิ่มขึ้นด้วย จะทำให้ข่าวมีหลายมิติ ลุ่มลึกขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม

ติดกับดักมองแหล่งข่าวเป็นวัตถุ

ในมุมนักวิชาการด้านสื่อ ดร.ชเนตตี ทินนาม ระบุว่า แนวคิดทฤษฎีการทำงานข่าวในเรื่องนี้ ถ้าสะท้อนปัญหานี้ ความรู้สึกในฐานะเป็นคนสอนวิชาจริยธรรมสื่อ ไม่ได้หมายความว่า เราไม่มีองค์ความรู้ ไม่มีการเรียนการสอน ไม่มีกลไก ตอนนี้วงการสื่อในประเทศไทย ทั้งด้านวิชาการ ด้านนิเทศศาสตร์ เรามีองค์ความรู้มากเพียงพอในการสอนเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรมสื่อที่ดี แต่ผลที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริง โลกอุตสาหกรรม เราจะพบกับความชอกช้ำ ซ้ำๆ ฉะนั้นความร้ายแรงที่เกิดขึ้นต่อผู้เสียหายในครั้งนี้ คิดว่าเป็นความรับผิดชอบของทุกคน ไม่ว่าภาควิชาการ หรือภาคอุตสาหกรรมสื่อ 

อย่างไรก็ตาม นับแต่มีสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ข้อบังคับจริยธรรมของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติในยุคแรก มีการเริ่มต้นพูดเรื่องสิทธิมนุษยชน และแนวปฎิบัติต่างๆ ที่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีการใช้หลักการเรื่องมนุษยธรรมเข้ามาทำงานสื่ออย่างเคร่งครัดและเข้มงวด มาตลอด แนวปฏิบัติสำหรับการรายงานข่าวอาชญากรรม จากข่าวที่มีความอ่อนไหว โศกนาฏกรรม เราถอดบทเรียนมามาก มีชุดความรู้มากพอสมควร เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้ ผิดซ้ำอีกขอวิเคราะห์ว่า เกิดจากการทำงาน ที่เรายังไปติดกับดัก ที่มักจะมองตัวแหล่งข่าว มีความเป็นวัตถุมากกว่าความเป็นมนุษย์ นี่เป็นข้อสังเกต และเป็นทฤษฎีในทางวิชาการด้วยว่า เราจะพบว่าทฤษฎีดั้งเดิมในทางวารสารศาสตร์ มักสอนวิชาข่าว ให้เรามองความสัมพันธ์ระหว่างแหล่งข่าว กับตัวผู้สื่อข่าว ลักษณะมีระยะห่าง และจะเป็นลักษณะการตรวจสอบสืบสวนสอบสวนระหว่างกัน 

ข่าวสูญเสีย อ่อนไหว ต้องใช้หัวใจในงาน

เข้าใจว่า การทำข่าว พอเจอเคสความอ่อนไหว สูญเสีย ความเปราะบาง และลักษณะนี้ ถ้าเรายังมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในข่าวลักษณะสืบสวนสอบสวน หาพยานหลักฐานต่างๆ โดยที่ลืมเอาหัวใจของความเป็นมนุษย์เข้าไปด้วย พบว่าจะเกิดผลกระทบในแง่การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้เสียหาย ครอบครัวของผู้เสียหายได้สูง เพราะฉะนั้น การใช้มุมมอง หรือตรรกะในลักษณะแบบนี้ ค่อนข้างมีปัญหาพอสมควร 

ในพื้นที่การทำงานข่าวอาชญากรรม ซึ่งอาจจะแตกต่างกับสัมพันธภาพ เกี่ยวกับเข้าไปสืบสวนคอร์รัปชัน ประเด็นทางการเมือง ที่จะต้องสืบสวนสอบสวนอย่างใกล้ชิด ค้นหาข้อมูลอย่างใกล้ชิด เพราะเราเข้าไปทำงานข่าว อาจจะในลักษณะการสืบสวนสอบสวน แล้วก็มองแหล่งข่าวเป็นเพียงแค่วัตถุ เราก็ลืมเอาหัวใจของความเป็นมนุษย์เข้าดูด้วยว่า การสูญเสียในครั้งนี้ ครอบครัวเค้าจะอยู่อย่างไร ผู้เสียหายไม่ได้เสียชีวิต ชีวิตของเขาหลังผ่านพ้นจะอยู่รอดในสังคมสำหรับนิเทศจุฬา แนวทางใหม่ที่เราสอนและปลูกฝังกันมาของนิเทศ จุฬา การทำข่าว ไม่ได้ใช้สมองอย่างเดียวในการทำงานสืบสวนเชิญสอบสวนอย่างเดียว แต่ให้ใช้หัวใจลงไปทำงานด้วย ในกรณีที่มันประเด็นที่มีความเปราะบาง มีความอ่อนไหว และมีผลกระทบสูงในเชิงความรุนแรง และผลกระทบนั้น มันอาจจะสะท้อนยาวนานมาก ตลอดช่วงชีวิตของคนคนหนึ่งคนนั้น หรือแม้แต่บาดแผลที่จะเกิดขึ้นกับครอบครัว ในกรณีที่มีการสูญเสียชีวิตเกิดขึ้น 

หวังข้ามพ้น เล่าข่าวบรรยายศพ

ในลักษณะนี้คิดว่าตรงนี้เป็นปัญหาหลักที่จะต้องเข้ามาแก้ในเชิง Approach วิธีคิดของที่จะเข้าไปทำงานข่าวเวลาลงไปในพื้นที่อาชญากรรม อาจจะต้องลดกระบวนการมองด้วยเลนส์สายตาแบบการสืบสวนสอบสวน หาประจักษ์พยานข้อเท็จจริงต่างๆ เวลาเห็นข่าวลักษณะแบบนี้ ก็จะพบว่าย่อหน้าแรกของการรายงานข่าวลักษณะนี้ จะเป็นการตีแผ่ถึงหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ 

ผู้ที่ตรวจสอบพบในเหตุการณ์ตอนนี้ เวลาเราเห็นข่าวที่เกิดขึ้นกับพยาบาล หรือแม้แต่ในรายการเล่าข่าวต่างๆ จะพบว่าผู้สื่อข่าวจะเริ่มต้นด้วยการรายงานถึงสภาพศพ คิดว่าตรงนี้ต้องข้ามพ้นประจักษ์พยานในลักษณะนี้ไปได้แล้ว แต่ข่าวย่อมชี้ลงไปสู่ในลักษณะการติดตามตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมต่างๆ ว่าได้ให้ความเป็นธรรม ความเที่ยงธรรม กับผู้เสียหายอย่างไร มากกว่าที่จะมาพุ่งเป้าไปที่ประจักษ์พยานเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในที่เกิดเหตุ แล้วมันสร้างผลกระทบในเชิงความรู้สึกต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตในลักษณะนี้ 

แนะขยายประเด็นผลกระทบต่อสังคม

อีกประเด็นหนึ่ง คิดว่านอกจากเราจะต้องติดตามแบบกัดไม่ปล่อย ถึงกระบวนการยุติธรรม ว่าจะให้ความเที่ยงธรรมต่อตัวผู้เสียหายมากขนาดไหนในการรายงานข่าวเอง ก็จะต้องส่งผลสะท้อนที่กว้างไกลไปมากกว่า เรื่องราวความสัมพันธ์ส่วนตัว ที่ข่าวจะตั้งสมมุติฐานต่างๆระหว่างผู้ก่อเหตุหรือตัวผู้เสียหาย ซึ่งหมายถึงข่าวอาชญากรรม บางทีต้องไปให้ไกลกว่าการรายงานเรื่องส่วนตัว 

แต่ทำอย่างไรที่จะให้ข่าวอาชญากรรมเป็นการรายงานข่าวเชิงผลกระทบต่อสังคม มากกว่าการขุดคุ้ยเรื่องราวส่วนตัวที่เป็นความเปราะบางของตัวผู้เสียหาย ในประเด็นนี้อยากจะเชิญชวนให้การรายงานข่าวอาชญากรรม ใช้หัวใจของความเป็นมนุษย์รายงานในตรงจุดนี้ให้มากขึ้น มากไปกว่าการทำงานเชิงสืบสวนสอบสวน แต่ต้องเข้มข้น ในเรื่องการติดตามการปกป้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียหาย ในกระบวนการยุติธรรมของตำรวจและชั้นศาล

เน้นย้ำหลักการคุณค่าข่าว

ต่อข้อถาม การเสนอข่าวที่อ้างว่าเป็นไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภค มองอย่างไร ดร.ชเนตตี ระบุว่า เราจะโทษโซเชียลมีเดียทั้งหมดก็ไม่ได้ ต้องกลับดูด้วยว่า หลักการวารสารศาสตร์ และเรื่องคุณค่าข่าว (News values) มีอยู่ข้อหนึ่ง ที่ค่อนข้างมีปัญหามากคือ ข่าวที่ดี ไม่ได้หมายถึงคุณลักษณะที่ดี ในหลักของคุณค่าเชิงข่าว ตามหลักวารสารศาสตร์มี 1-2 ข้อ ที่ค่อนข้างมีปัญหามาก และถูกปลูกฝังในโรงเรียนสื่อ และถูกถ่ายทอดต่อในสถาบันสื่อ อุตสาหกรรมสื่อต่างๆ 

นั่นก็คือข่าวที่ดี จะต้องมีลักษณะเร้าอารมณ์ จะต้องมีลักษณะที่คนสนใจหรือ Human interest ในลักษณะแบบนี้ ในประเด็นนี้ เวลาสื่อเอาไป Apply ใช้ในการทำงาน ภาคสนาม เค้าหลงลืมไปว่า หน้าที่ของการนำความอารมณ์ หรือสิ่งที่ปุถุชนสนใจ มันจะต้องอยู่บนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย 

ผู้สื่อข่าวจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ฉะนั้นการเร้าอารมณ์ก็ดี ข่าวที่ปุถุชนสนใจก็ดี มันจะต้องถูกขีดเส้นใต้ด้วยว่า ข่าวชิ้นนี้เมื่อนำเสนอออกไปแล้ว มันจะกระทบใครบ้าง ใครจะเป็นผู้ที่เจ็บปวดมากที่สุด เสียหายมากที่สุด นั่นคือสิ่งที่ผู้รายงานข่าว จะต้องคำนึงและต้องรับผิดชอบต่อการรายงานข่าวตรงนี้ให้ได้ด้วยเช่นเดียวกัน 

เพราะฉะนั้นข่าวเร้าอารมณ์ทุกอย่างจะต้องถูกขีดเส้นใต้ ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมเสมอ แต่ที่ผ่านมา เราก็จะพบว่า ตั้งแต่ยุคก่อนมีโซเชียลมีเดียด้วยซ้ำ เพราะหลักการนี้มันมีมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของวารสารศาสตร์ กำลังจะบอกว่าเร้าอารมณ์ได้นำเสนอได้แต่กระทบใครแล้วสื่อจะปกป้องใครในสถานการณ์ตรงนี้ 

เพราะฉะนั้นมันจึงไปไม่สุดทางมันจึงหยิบเอามาแต่เฉพาะความเร้าอารมณ์อย่างเดียวมาแข่งขันกันในโลกอุตสาหกรรมสื่อ ซึ่งมันไม่ครบถ้วนตามหลักการวารสารศาสตร์ที่เราปลูกฝังกันมาเป็นศตวรรษ

ไม่ใช่ใครๆ ก็เป็นสื่อได้ 

คำกล่าวที่ว่า ใครก็เป็นนักข่าวได้ ทฤษฎีกับโลกแห่งความเป็นจริง เป็นอย่างไร ดร.ชเนตตี กล่าวว่า ไม่สมควรเรียกตัวเองว่าเป็นนักข่าวถ้ายังมีแนวคิดในลักษณะที่ไม่ได้สนใจว่าความเป็นมนุษย์คืออะไร ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปฎิบัติงานในวิชาชีพของเราคืออะไร นั่นก็แปลว่า คุณไม่มีคุณสมบัติในการเป็นผู้สื่อข่าว ฉะนั้นอย่าเอาคำนี้ไปใช้ในการกล่าวขานเรียกตัวเองว่าสื่อ

เพราะหลักการวารสารศาสตร์ในจุดเริ่มต้น มันดีงามมาตลอด วารสารศาสตร์งานด้านสื่อมวลชนเกิดขึ้นมาพร้อมกับสังคมประชาธิปไตยพร้อมกับการเรียกร้องสิทธิ์ และเสรีภาพของประชาชน มาพร้อมกับการสูญเสียเลือดเนื้อการต่อสู้ของมวลชน เพื่อจะนำสังคมไปสู่ความเท่าเทียมความยุติธรรม และความผาสุกเกิดขึ้น

ฉะนั้นสื่อมวลชน จะเป็นได้ไม่ใช่เพียงว่าเขียนข่าวเป็น แต่จะต้องเป็นสื่อมวลชนที่จะต้องเปี่ยมพร้อมไปด้วยการมีสำนึกของความเป็นมนุษย์เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็แล้วแต่ในสำนึกของความเป็นมนุษย์ซึ่งจะมีลักษณะเป็นวิญญูชน คือสูงมากกว่ามาตรฐานความเป็นคนโดยทั่วๆไป เมื่อใดก็แล้วแต่ที่ไปไม่ถึงจุดนี้ คิดว่าผู้คนเหล่านั้นไม่สมควรที่จะมากล่าวอ้างตัวเองในนามของการเป็นสื่อมวลชน โดยเฉพาะการมาใส่พ่วงท้ายว่าสื่อมวลชนที่มีวิชาชีพมีจริยธรรมกำกับอยู่ เราไม่สามารถที่จะกล่าวกันอย่างนั้นได้ 

เช่นกันที่เราพูดกันอยู่ในยุคนี้ว่า ใครๆ ก็เป็นสื่อได้ แต่ความเป็นสื่อมืออาชีพ มันจะมีเส้นหนาๆ ที่ขีดกั้นเอาไว้อย่างชัดเจนว่า สื่อที่เป็นมืออาชีพ จะต้องคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นวิชาชีพ ที่จะต้องปฏิบัติตามกรอบจริยธรรมในวิชาชีพสื่อโดยเคร่งครัด ฉะนั้นการเรียนนิเทศศาสตร์ในทุกสถาบันในประเทศไทย จะต้องมีวิชาจริยธรรมสื่อกำกับอยู่เสมอ การจะสำเร็จไปเป็นบัณฑิตทางด้านนิเทศศาสตร์จะถูกการันตีตรงนี้ เพื่อทำให้บัณฑิตด้านนิเทศศาสตร์แยกขาดออกจาก ใครๆ ก็ทำสื่อได้ในตลาด หรืออุตสาหกรรมทั่วๆไป.