นักวิชาการหนุนสื่อมีกรอบการนำเสนอข่าวไทย-กัมพูชา

นักวิชาการหนุนสื่อมีกรอบการนำเสนอข่าวไทย-กัมพูชา ลดความขัดแย้ง ยกระดับความคิดคนในสังคม

ปัญหา“ไทย-กัมพูชา” การรายงานข่าวที่มากกว่ามิติความมั่นคง นักวิชาการหนุนสื่อมีกรอบการนำเสนอ ประโยชน์ระหว่างสองฝ่าย ลดความขัดแย้ง มุ่งสันติภาพในพื้นที่ระยะยาว ชี้บทบาทสื่อคลี่คลายสถานการณ์ ยกระดับความคิดคนในสังคม ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ วิกฤติสแกมเมอร์เป็นโอกาสให้โลกสนใจร่วมแก้ปัญหา ยกจุดเด่นสื่อเกาหลีใต้ นำเสนอข้อมูลทั้งคู่ขัดแย้ง พร้อมมีข้อเสนอทางออก ขณะที่สื่ออาชีพห่วงโซเชียลมีเดีย แนะการนำเสนอภาพควรระบุเหตุการณ์วันเวลาให้ชัดเจน ป้องกันความสับสนในพื้นที่   

รายการรู้ทันสื่อกับสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ประจำวันเสาร์ที่ 18 ต.ค. 2568 ออกอากาศทาง FM 100.5 ดำเนินรายการโดย ณรงค สุทธิรักษ์ จินตนา จันทร์ไพบูลย์ พูดคุยประเด็น “กรอบของการสื่อสารเพื่อความมั่นคง” ผู้ร่วมสนทนา ว่าที่ร้อยตรีเสกสรร อานันทศิริเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมไทยคดีศึกษาแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (KATS) และอนุกรรมการฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ อารีย์ มาบกลาง ผู้สื่อข่าวภูมิภาค ไทยรัฐ รศ.ดร.มนวิภา วงรุจิระ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

กรณีการนำเสนอข่าวไทย-กัมพูชา ในมิติความมั่นคงของสื่อ ซึ่งล่าสุดสถานการณ์ได้ขยายปัญหาไปยังเรื่องอาชญากรรมไซเบอร์ สแกมเมอร์ ที่เป็น 1 ในข้อเรียกร้องของไทยต่อกัมพูชาให้เร่งแก้ปัญหา ซึ่งปรากฎว่ามีหลายประเทศได้รับผลกระทบเช่นกัน หลังจากประเทศจีนได้เข้ามากดดันให้แก้กัมพูชาแก้ปัญหาเนื่องจากประชาชนจีนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ล่าสุดเกาหลีใต้เป็นอีกประเทศที่เข้ามาจัดการปัญหาลักษณะเดียวกันในกัมพูชา ท่ามกลางกระแสกดดันในสังคมเกาหลีใต้เอง ทั้งจากสื่อและอินฟลูเอนเซอร์  

ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลี ว่าที่ร้อยตรีเสกสรร อานันทศิริเกียรติ ยกกรณีสื่อในสังคมเกาหลีใต้ว่า สังคมเกาหลีใต้ไม่ได้ใจดีกับผู้มีอำนาจรัฐมากนัก จะเห็นได้จากข่าวประธานาธิบดีติดคุก ลูกหลานแชโบล ถูกเปิดโปง และกรณีกัมพูชาก็เห็นได้ชัด มีการแฉด้วยซ้ำว่า มีลูกหลานแชโบลเกี่ยวข้อง มีทุนสีเทา เกาหลีเทา เข้าไปเกี่ยวข้อง 

ลักษณะเบื้องต้นของชาวเกาหลีใต้ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ อีกเรื่อง คือ ในแง่ของมาตรการ ที่ถูกเปรียบเทียบระหว่างเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ ที่มีการเปิดลำโพงสู้กัน ทำไมเขาทำได้ แต่เราทำไม่ได้ เรื่องนี้มีความต่างทางข้อเท็จจริง

ลำโพงที่เขาเปิด เป็นตอนกลางวัน ไม่ได้เปิดในยามวิกาล ซึ่งปฎิบัติตามกฏหมาย และเสียงที่เปิดเป็นเพลง ไม่ได้เปิดเสียงผี หรือเสียงเครื่องบินเอฟ 16 ก็จะเห็นถึงความแตกต่าง อย่างไรก็ดีทั้งสองประเทศเกาหลีใต้-เกาหลีเหนือ ก็เคยขึ้นไปสู่เวทีระหว่างประเทศ เช่นกัน 

โดยเกาหลีเหนือก็นำเรื่องไปฟ้องยูเอ็น ซึ่งในท้ายที่สุด ก็มาแก้ปัญหาที่เวทีทวิภาคี ซึ่งเป็นบทเรียนที่ดีมากสำหรับเรื่องไทย-กัมพูชา ซึ่งเรื่องระหว่างสองประเทศ แม้นำไปฟ้องคนอื่นที่สุดก็ต้องมาแก้ปัญหากันเอง 

ประเด็นสแกมเมอร์วิกฤติเป็นโอกาส

อย่างไรก็ตาม ทั้งต้นเหตุของปัญหา และความพยายามในการจัดการปัญหา ที่มีความต่างทั้งวัฒนธรรม นโยบาย วิธีการบริหารจัดการ ว่าที่ร้อยตรีเสกสรร เปรียบเทียบว่า กรณีเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ คือเขตปลอดทหาร ในแง่หนึ่งก็คือคนอยู่กันเล็กน้อย ไม่หนาแน่น ฉะนั้นในแง่ของการใช้เป็นเครื่องมือต่อรองจึงน้อยมาก ขณะที่ของไทย-กัมพูชา มีเรื่องของเขตแดน มีเรื่องสแกมเมอร์เข้ามา จึงเป็นโอกาสดีที่จะกำหนดประเด็น ที่จะให้โลกมาสนใจ ไม่เฉพาะเขตแดน 

สำหรับในแง่การสื่อสารเพื่อความมั่นคง อาจจะเอากรอบยุทธศาสตร์มาคุยกัน ถ้าเราต้องการบรรลุเป้าหมายในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันคนกัมพูชากลับประเทศ เรื่องเขตแดนต่างๆ เราเอาเรื่องของเป้าหมายเป็นตัวตั้ง และพยายามด้วยวิธีการ คงจะต้องใช้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อน ทั้งการทูตและการทหารสลับกันไป

คำนึงถึงมุมมองจากนอกประเทศ

ในเรื่องความมั่นคงของชาติ และแง่มนุษยธรรม การทำหน้าที่ของสื่อ มีข้อยกเว้นอย่างไรหรือไม่ ว่าที่ร้อยตรีเสกสรร ระบุว่า ถ้าเป็นกฎหมายภายในประเทศ อาจมีข้อยกเว้น แต่สำหรับกฎหมายระหว่างประเทศ ขึ้นอยู่กับการตีความตามผู้ที่เกี่ยวข้อง อาจจะต้องระมัดระวังในแง่ที่ว่า ถ้าเรามองว่าถูกต้อง แต่โลกอาจจะมองว่าไม่ถูก เป็นจุดที่เราจะต้องกังวล ว่ามันยกเว้นได้แค่ไหน เพราะคนที่จะตัดสินเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ 2 ประเทศเท่านั้น แต่เป็นประเทศอื่น ที่อาจมีมุมมองในเรื่องนี้แตกต่างกันไป ตรงนี้จึงอยากจะแบ่งปันว่า ในแง่ของความมั่นคง อาจจะมาจากคนข้างนอกมองเรา ไม่ใช่แค่เรามองตัวเอง และฝั่งตรงข้ามด้วยกันเท่านั้น

เมื่อถามถึงกรอบในการทำหน้าที่ของสื่อเกาหลีใต้ มีทิศทางอย่างไร หากเปรียบเทียบกับสื่อของไทยที่รายงานเรื่องนี้ ว่าที่ร้อยตรีเสกสรร ระบุว่า ได้ศึกษา 2 กรณี กรณีแรก การรายงานข่าวจากเดอะโคเรียไทม์ ที่มีข่าวช่วงต้นๆ รายละเอียดคือ สื่อนำเสนอข้อเท็จจริงเป็นหลัก ในแง่ที่ว่า ฝ่ายหนึ่งให้ข่าว ก็ให้พื้นที่อีกฝ่าย และในช่วงท้ายบทความ จะมีความเห็นทัดทาน เช่นให้คิดอย่างรอบคอบ เพราะมันมีต้นทุน มีความเสี่ยงที่ประเทศจะต้องเผชิญปัญหา หากมีนานาชาติเข้ามาแทรกแซง 

แนะจุดเด่น มีข้อเสนอ-ทางออก

อีกส่วนหนึ่งก็คือ รายงานข่าวที่ว่า มีกระแสความไม่พอใจกัมพูชาในเกาหลีใต้ ก็จะมีความเห็นของหลายฝ่าย ไม่เฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ คิดอย่างไร และยังมีความเห็นนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว เจ้าหน้าที่รัฐ และองค์กรอื่นๆ มาบาลานซ์กันว่า ถ้าเป็นเขาเป็นเรา จะมองกันอย่างไร ซึ่งดูเหมือนการนำเสนอ จะเป็นแนวปฎิบัติ ลักษณะนี้เสมอ ในการรายงานข่าว

สำหรับการรายงานข่าวของสื่อไทย กรณีกัมพูชา ว่าที่ร้อยตรีเสกสรร ระบุว่า ข้อแรกสำคัญที่สุดคือ เรื่องของการรายงานข้อเท็จจริงระหว่างสองฝ่าย และอาจต้องดูกรณีของที่อื่น ว่าดำเนินการอย่างไร เพื่อเป็นทางเลือก เป็นข้อเสนอ ให้คนไทยได้พิจารณาว่า ทำอย่างนี้ได้ อาจจะไม่ต้องเลือกทางใดทางเดียว แม้ท้ายที่สุด การตัดสินใจจะเลือกอย่างไร ก็จะมีผลออกมาในรูปแบบไหนได้บ้าง สังคมไทยก็จะได้รับข้อมูลที่เหมาะสม และจะร่วมกันสร้างสังคมแห่งความรู้ความเข้าใจ

ทั้งนี้ สื่อไทย ก็ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ตามที่ร้องขออย่างเต็มที่ เช่น ไม่รายงาน จุดยุทธศาสตร์ของกองทัพ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากให้ลดลงคือ ส่วนที่เป็นดราม่า และเพิ่มส่วนที่เป็นข้อมูลให้มากขึ้น ยังมีบางจุด ที่ควรให้ข้อมูล เช่น เอ็มโอยู เรื่องทวิภาคี ซึ่งยังไม่รู้ว่า รัฐบาลจะตัดสินใจเมื่อไหร่ อย่างไร หากต้องตัดสินใจจริงๆ เราต้องมั่นใจว่า การตัดสินใจนั้นจะถูกต้อง และเป็นประโยชน์จริงๆ

ส่วนกรณีที่ทางกัมพูชามักจะให้ข่าวไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ว่าที่ร้อยตรีเสกสรร มองว่า หลักๆ เรื่องนี้ เป็นเสรีภาพสื่อ เราควรดูในแง่ของความได้สัดส่วน การนำเสนออาจจะมีมุมมองแตกต่างในแง่เสรีภาพสื่อ ที่ถกเถียงกันได้ ดีกว่าสร้างให้เกิดความเกลียดชัง จากการตัดต่อ ลดทอนข้อความ เช่น นำเสนอไปแล้ว เขาบอกว่าไม่เคยพูด คือ จุดที่เราจะต้องหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด

ระมัดระวังเนื้อหาข่าวความมั่นคง

ในมุมของผู้สื่อข่าวภาคสนาม อารีย์ มาบกลาง ซึ่งเกาะติดสถานการณ์ในพื้นที่ จังหวัดสระแก้ว บอกเล่าถึงการทำหน้าที่ว่า สื่อคำนึงถึงความอ่อนไหว และปฏิบัติหน้าที่อยู่ในส่วนที่ปลอดภัย ภายใต้การดูแลของทหาร เจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะการเข้าไปทำข่าวในจุดใด จะเข้าไปเฉพาะจุดที่เจ้าหน้าที่อนุญาตให้เข้าไปได้

สำหรับกิจกรรมที่มีการฉายหนังสารคดีเกี่ยวกับประเทศไทยที่เคยให้ความช่วยเหลือชาวกัมพูชาในพื้นที่นี้ เปิดเสียงหมาหอน ในพื้นที่บ้านหนองจาน ของอินฟลูเอนเซอร์ อารีย์ ระบุว่า เรื่องนี้สื่อ ไม่ได้รับรู้ข้อมูลล่วงหน้า ทราบเมื่อมีการแจ้งผ่านเจ้าหน้าที่เข้ามา มีกิจกรรม 3 คืน เปิดเสียงผีคืนเดียว หนังกลางแปลงหนึ่งคืน อีกคืนหนึ่งจัดกิจกรรมฮาโลวีนล่วงหน้า

ขณะที่กระแสในพื้นที่ส่วนใหญ่ ประชาชนจะเห็นด้วย และรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่อินฟลูฯทำ โดยรู้สึกว่าถูกกระทำมามากแล้ว จึงเหมือนเป็นการเอาคืนในส่วนของประชาชนเองสถานการณ์และบรรยากาศขณะนั้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ป่า บ้านเรือนคนอยู่ห่างออกไป บ้านเรือนฝั่งกัมพูชา ห่างออกไป 500 เมตร ไม่สามารถมองเห็นกันและกันได้ และการเปิดเสียงไม่ได้เปิดทั้งคืน 

สำหรับการรายงานของสื่อ ก็เน้นข้อเท็จจริง ทั้งการเก็บกู้ระเบิดที่ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และชาวบ้านในพ้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วหลายรายเข้าไปทำกินในพื้นที่ของตนเองได้ หลังจากไม่สามารถเข้าไปนานถึง 30-40 ปี ทำให้พวกเขาพอใจ อยากให้ใช้มาตรการต่างๆ เหล่านี้ต่อไป

ขณะที่ปฏิกิริยาของชาวกัมพูชา ที่อยู่บริเวณนั้น ตอนนี้เงียบสงบลง ไม่มีการมารวมตัวกันเหมือนก่อน ซึ่งก็มีกระแสข่าวว่า ไม่มีเงินจ้างคนมารวมตัวกันแล้ว ก่อนหน้านี้ที่เคยมีการบินโดรนมาสำรวจ ก็ไม่พบอีก หลังจากมีความเคลื่อนไหวของหลายๆ ประเทศ ทั้งเกาหลีใต้ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ในเรื่องสแกมเมอร์ 

สำหรับเรื่องสิทธิมนุษยชน ต่อชาวบ้านฝั่งกัมพูชา ประชาชนไทยสะท้อนว่า อยากให้นักสิทธิมนุษยชนมาฟังเสียงชาวบ้านด้วยว่า ต้องการอะไร และมองว่ากลุ่มอินฟลูฯ ที่เข้ามาในพื้นที่ รู้ความต้องการชาวบ้าน จึงเห็นใจว่าคนที่เข้ามาช่วย ทำดี แล้วโดนวิพากษ์วิจารณ์ แม้อีกกลุ่มหนึ่งจะมองว่า เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ควรอยู่ในกรอบ จึงกลายเป็นความเห็นต่างในสังคมไทย

อารีย์ ยืนยันว่า การรายงานข่าวในพื้นที่ สื่อทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง เนื้อหา โดยรายงานตามความเป็นจริง ตามข้อเท็จจริงหน้างานและให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่ทั้งการอยู่ในจุดที่ปลอดภัย ได้รับอนุญาต และเนื้อหาข่าวสารอีกส่วน อย่างเป็นทางการจากเจ้าหน้าที่

ห่วงสื่อโซเชียล สร้างความสับสน

สำหรับจุดศูนย์กลางที่สื่อลงไปปักหลักใน จ.สระแก้ว มีสื่อส่วนกลางจำนวนมาก เพราะประเด็นข่าว ไม่ใช่มีเฉพาะเรื่องชายแดนเท่านั้น แต่มีเรื่องของอาชญากรรมไซเบอร์ สแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ที่คนหลบหนีออกมาจากฝั่งกัมพูชาจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จับกุมได้เป็นรายชั่วโมง บางส่วนพบว่าถูกหลอกไป ให้ทำบัญชีม้า ถูกทำร้ายร่างกาย หนีมา ว่ายน้ำข้ามมา มีทั้งคนไทย และต่างชาติ ลาว เวียดนาม เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่คนไทย และคนกัมพูชา ก็หนีกลับมาเหมือนกัน เพื่อกลับมาทำงานประเทศไทย

ข้อห่วงใยที่อารีย์ ฝากถึงผู้บริโภคข่าวสาร คือการรับฟังข่าวสารจากสื่อสังคมออนไลน์ ที่พบว่ามีบางเพจใช้ภาพเก่ามาลงประกอบข่าว โดยไม่ระบุวันที่ และเหตุการณ์ในภาพ ทำให้คนที่ได้รับข้อมูลโดยเฉพาะคนในพื้นที่สับสน วิตกกังวล หวาดกลัว จึงอยากให้ช่วยกันระมัดระวังในการนำเสนอ ให้ระบุรายละเอียดเหตุการณ์ วัน เวลา

สื่อต้องทำการบ้านหนักกว่าปกติ

ด้านนักวิชาการสื่อ รศ.ดร.มนวิภา วงรุจิระ มองว่า หลักวารสารศาสตร์ นิเทศศาสตร์ การสื่อสารด้านความมั่นคง จริงๆ ไม่ใช่เฉพาะมิติความมั่นคงเพียงอย่างเดียว แต่อย่างแรก คือการเสนอข้อเท็จจริง มากกว่าข้อคิดเห็น ส่วนหนึ่งที่ขยายวงไป คือโซเชียลมีเดียที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม บริโภคข่าวสารผ่านสื่อที่ไม่ได้กลั่นกรองข้อมูลเนื้อหา คือบริโภคสิ่งที่เรียกว่า ถูกใจมากกว่าถูกต้อง ทุกวันนี้คนบริโภคข่าวสารเป็นลักษณะความบันเทิง แม้เป็นข่าวซีเรียส ก็ยังบันเทิง ปัญหาไทย-กัมพูชาเป็นข่าวซีเรียสมาก แต่กลายเป็นว่า เราบริโภคด้วยความบันเทิงหรือไม่

ดังนั้น โดยพื้นฐาน หลักการของคนทำงานข่าว อย่างแรกคือ รายงานข้อเท็จจริง ที่ต้องตรวจสอบก่อน แต่พอเป็นเรื่องความมั่นคงก็จะเริ่มมีรายละเอียดที่มากขึ้น มันมีเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การค้า ภาพลักษณ์ ซึ่งเราย้ายประเทศไปจากกันไม่ได้

“เรื่องความมั่นคง ไม่ใช่ในเชิงทางการทหารอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉะนั้น จึงมีทั้งด้านรัฐศาสตร์ เพราะเราเป็นนิเทศศาสตร์การสื่อสารเรื่องเหล่านี้ เราต้องทำความเข้าใจให้มากกว่าปกติ”

สำหรับการทำหน้าที่ของสื่อ รศ.ดร.มนวิภา เน้นย้ำเรื่องแนวปฏิบัติของสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ต้องรายงานข่าว ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความแตกแยก ขัดแย้ง แม้สื่อที่เป็นสมาชิกจะถูกกลั่นกรองเนื้อหา โดยบก. แต่คนเอาไปขยาย โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย อินฟลูเอนเซอร์ทั้งหลาย ก็พูดยาก แล้วคนเหล่านี้ ก็มีคนตาม คนดูเยอะ

ยึดประโยชน์สองฝ่าย ลดขัดแย้ง

สำหรับการรายงานข่าวที่อ่อนไหว ปัญหาความมั่นคง ความขัดแย้งต่างๆ สิ่งที่ควรเน้น คือ ประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ก่อนนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เราต้องถามก่อนว่า มันเกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่ายหรือไม่ โจทย์ที่ว่าคือ ประโยชน์สูงสุดในการให้ความขัดแย้งบรรเทาเบาลง และบรรลุสันติ 

ตรงนี้ต่างหาก เวลาที่เรานำเสนอ หรือการเลือกประเด็นขึ้นมานำเสนอ ต้องถามตัวเองว่า เราเสนอสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไหม เสนอได้ แต่เราต้องคิดครั้งที่สองว่า เรานำเสนอภายใต้กรอบ หรือเฟรมมิ่งแค่ไหน ซึ่งกรอบแรกที่เราต้องพูด จึงเป็นกรอบเรื่องประโยชน์ สันติภาพในพื้นที่ระยะยาว ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามเหมือนกันว่า เอาความสะใจอย่างเดียวพอไหม ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่อินฟลูฯ แต่ละคน

สอง คือประโยชน์ของการที่จะนำไปสู่ สิ่งที่เรียกว่า คลี่คลายสถานการณ์ ความขัดแย้งตรงนี้ น่าจะเป็นบทบาทของสื่อในสถานการณ์ความมั่นคง

อีกเรื่องของกรอบ คือการไม่เปิดเผยพื้นที่ ลักษณะยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ในการต่อสู้ ตรงนี้คิดว่าสื่อระมัดระวังมากขึ้น หลังจากมีการพูดถึงพอสมควรในระดับหนึ่ง ฝ่ายทหาร หรือฝ่ายความมั่นคง เขาก็ต้องการประโยชน์จากที่สื่อมวลชนที่นำเสนอด้วยเช่นกัน เพราะการให้ข้อมูลข่าวสาร เป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยาของเขาอย่างหนึ่ง เพียงแต่มันมีกลวิธีในการใช้สื่อรูปแบบต่างๆ 

เมื่อถามว่า ในด้านการสื่อสารด้านความมั่นคง ยกกรอบออกไปสักหน่อยได้หรือไม่ แม้ประโยชน์ของประเทศชาติสูงสุด รศ.ดร.มนวิภา ระบุว่า แม้เราจะรักชาติได้ แต่ไม่ใช่ว่า คนที่มีความเห็นต่างจากเรา จะต้องเป็นคนผิด และเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ตั้งแต่สมัยกีฬาสี (การเมือง) เราอย่าเอาความรักชาติมาแบ่งฝ่ายเขาฝ่ายเรา

หน้าที่สื่อยกระดับความคิดสังคม

เราไม่สามารถเปลี่ยนการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของฝ่ายกัมพูชาได้ แต่เราถกเถียงกันบนข้อเท็จจริง หรือบนข้อคิดเห็นได้ การเอาชนะทางข้อคิดเห็น แต่เราลืมมองภาพรวมข้อเท็จจริง คนปั่นกระแส ก็คือพวกเรากันเองด้วย ต้องยอมรับ อย่างกรณี เรื่องสิทธิมนุษยชน คำถาม คือ เราปั่นกระแสให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องการวางกรอบของสื่อมวลชนเหมือนกันว่า จะตีปี๊บประเด็นที่เป็นประโยชน์สาธารณะมากน้อยแค่ไหน

ถ้ามองระยะยาวโดยบทบาทสื่อ หน้าที่หนึ่งของสื่อตามทฤษฎีวารสารศาสตร์ คือ การยกระดับความคิดของผู้คนในสังคม ไม่ใช่แค่สื่อเป็นกระจก นอกจากสะท้อนอะไรที่เกิดขึ้นในสังคม ยังต้องเป็นตะเกียงส่องนำทาง เชื่อว่ายังมีความหวังอยู่ ยังมีสื่อที่มองว่า เราจะทำอย่างไรให้ก้าวไปข้างหน้า อย่าลืมว่า การให้พื้นที่ในบางประเด็น บางกรอบ สื่อตีปี๊บเรื่องอะไร สื่อก็กำลังสอนสังคมแบบนั้น.