ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา สื่อควรนำเสนอทิศทางช่วยพยุงสถานการณ์ ดึงสติสังคม

รายการ รู้ทันสื่อกับสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ประจำวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2568 ทาง MCOT NEWS FM 100.5 ดำเนินรายการโดย ณรงค สุทธิรักษ์ วิชัย วรธานีวงศ์ พูดคุยเรื่อง “รู้ทันข่าว-ข้อมูล ชายแดนไทย-กัมพูชา” ผู้ร่วมสนทนา ประกอบด้วย รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษาและอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี อดีตบรรณาธิการ The Nation รศ.ดร.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)

สถานการณ์ตึงเครียดจากเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี หรือที่เรียกว่า“สามเหลี่ยมมรกต” พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตรอยต่อชายแดน 3 ประเทศ คือ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ประเทศไทย เมืองมูลประโมกข์ แขวงจำปาสัก ประเทศลาว และเมืองจอมกระสานต์ จ.พระวิหาร ประเทศกัมพูชา พื้นที่ 12 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชามีปัญหาเรื่องปักปันเขตแดน 

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ฉายให้เป็นภาพความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้ เกิดจากจุดเล็กๆ บนแผนที่ ที่ไทย-กัมพูชา ใช้และเห็นไม่ตรงกัน และเส้นเขตแดนยังไม่ชัดเจน ซึ่งความจริงควรจะแก้ไขกันได้ในระดับท้องถิ่น ก่อนจะปล่อยให้ลุกลามบานปลาย หรือขยายความขัดแย้งมาถึงปัจจุบันนี้

“ความขัดแย้งจากการปะทะกันทางยุทธวิธีแค่ 10 นาที แล้วเลิกรากันไป 2 ผบ.ทบ.มาเจอกันแล้ว คุยกัน ตกลงกันแล้ว แต่กลับไม่จบเพราะปัญหาดั้งเดิมยังค้างคาอยู่ ปัจจุบันจึงกลายเป็นข้อพิพาท และเริ่มออกมาตรการตอบโต้กัน สิ่งที่น่ากังวลตอนนี้คือ จะบานปลายไปถึงจุดที่คุมไม่ได้หรือไม่ จึงเป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หากจะออกมาตรการใดๆ เช่น ปิดด่าน ต้องมีวัตถุประสงค์ชัดเจน เพราะมีผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองฝั่งที่ไม่ได้ขัดแย้งกัน อีกทั้งการค้าระหว่างไทย-กัมพูชา มีมูลค่า 100,000 กว่าล้านบาทต่อปี จึงเป็นเรื่องของประเทศต่อประเทศ เพราะฉะนั้นผู้นำประเทศ ผู้นำทหาร ก็ต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ”

ส่วนกรณีพื้นที่อ้างสิทธิ์ จากปัญหาเรื่องแผนที่ของไทยและกัมพูชาที่ไม่ตรงกัน โดยเฉพาะอัตราส่วน ที่มีข้อถกเถียงกัน 1 : 50,000 หรือ1 : 200,000 สุภลักษณ์ ระบุว่า เรื่องแผนที่ในสนธิสัญญา 2 ฉบับที่เราใช้อยู่ คือปี 1904 กับ 1907 ได้เขียนถึงเรื่องเขตแดน ระหว่างสยามกับอินโดจีนเอาไว้ กำหนดไว้ชัดเจนว่า ตรงไหนคืออะไร สันปันน้ำอยู่ตรงไหน โดยมีการตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมกัน ซึ่งมี 2 ชุด และจัดทำแผนที่ขึ้นมาเมื่อ 100 ปีกว่าที่แล้ว (อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 ซึ่งระบุให้จัดตั้งคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส เพื่อปักปันเขตแดนดำเนินการสำรวจภูมิประเทศจริง และจัดทำแผนที่แสดงเส้นเขตแดน ซึ่งมีแผนที่อยู่ 2 ชุด ได้แก่ ชุด Bernard และ Montguers ทั้งหมดเป็นแผนที่จัดทำในมาตราส่วน 1 : 200,000 ครอบคลุมเขตแดนไทย-ลาว และไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน)

แผนที่ชุดที่เป็นปัญหา ก็เป็นแผนที่ระวาง 1 : 200,000 ( 1 ส่วนในแผนที่ = 200,000 ส่วนในภูมิประเทศจริง) และมีชุดเดียวเท่านั้นที่ถูกใช้ควบคู่กับสนธิสัญญา

จากสนธิสัญญาปี 1907 แผนที่ออกมาในปี 1908 และปี 1909 ก็เริ่มปักปันเขตแดน และจัดทำหลักเขตแดนได้ทั้งหมด 73 หลัก หลักแรกอยู่ที่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ จากหลักที่หนึ่งจนถึงช่องบก(พื้นที่ปะทะล่าสุด 28 พ.ค.2568) ยังไม่มีหลักเขต

อย่างไรก็ตาม แม้แต่ส่วนที่มีหลักเขต แต่เมื่อเวลาผ่านมาเป็น 100 ปี หลักเขตก็สูญหาย ถูกทำลาย ในช่วงระหว่างสงครามกัมพูชา ตามแนวชายแดนไม่ค่อยสงบ ทั้งเขมร 4 ฝ่ายก็รบกัน ทำให้หลักเขตสูญหายไป ถูกทำลายไปบ้าง พอมาถึงปี 2543 สถานการณ์กัมพูชาเริ่มสงบ มีเสถียรภาพ ฝ่ายไทยก็เห็นว่าน่าจะกลับมาทำเรื่องเขตแดนกันอีกครั้ง จึงทำ MOU ปี 2543 (MOU43 : บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543)

โดยก่อนหน้านั้น ปี 2540 ได้มีการตั้งคณะกรรมการเขตแดนร่วมกันครั้งแรก สมัยพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี (มีการลงนามในแถลงการณ์ร่วม เพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจัดทำหลักเขตแดน สำหรับเขตแดนทางบก Joint Statement on the Establishment of Thai-Cambodian Joint Commission on the Demarcation for Land Boundary / มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (Joint Boundary Commission – JBC) ในปีเดียวกัน เพื่อเป็นกลไกหลักในการเจรจาและ การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย – กัมพูชา)

พอมาถึงรัฐบาลชวน หลีกภัย ได้เขียนเอ็มโอยู43 ขึ้นมา ผู้ที่ร่วมลงนามฝ่ายไทยคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.การต่างประเทศ ขณะนั้น ส่วนฝ่ายกัมพูชา คือ วาร์ กิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา

วาร์ กิม ฮงเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญพื้นที่เขตแดน และชายแดนมาก ในบรรดาคนที่ทำเรื่องเขตแดนสมัยก่อน ทูตอาวุโสในกระทรวงต่างประเทศ เล่าให้ฟังว่าวาร์ กิม ฮงรู้เรื่องเส้นเขตแดนดีกว่าลายมือของตัวเองเสียอีก เพราะฉะนั้นเอ็มโอยู 43 ในปัจจุบันที่เป็นประเด็น ได้ระบุให้ใช้สนธิสัญญา 2 ฉบับคือ สนธิสัญญาปี 1904 ซึ่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวบทสำคัญในสนธิสัญญาปี 1893 คือหลังเหตุการณ์ รศ.112 มีการแลกเปลี่ยนดินแดนกัน ฝรั่งเศสมาปิดน่านน้ำ เป็นวิกฤติการณ์ปากน้ำในขณะนั้น

ส่วนอีกฉบับหนึ่ง ที่ให้ใช้คือสนธิสัญญาปี 1907 ที่พูดเรื่องเขตแดนชัดเจน หลังจากนั้น ได้มีการปรับปรุงเขตแดนหลายครั้ง มีการแลกเปลี่ยนดินแดนกัน

อีกข้อหนึ่งที่สำคัญมาก ในเอ็มโอยู 43 บอกให้ใช้แผนที่ ซึ่งคณะกรรมการปักปันเขตแดนได้จัดทำขึ้นในสมัยโน้น โดยมีการจัดทำแผนที่ตามที่ได้ตรวจสอบดูจากกระทรวงการต่างประเทศ ก็พบว่ามีแผนที่ชุด ซึ่งมีการพูดถึงแผนที่ 2 ชุด ชุดหนึ่ง 11 ระวาง อีกชุดหนึ่งจะมี 5 ระวาง อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ชุดนั้น ก็ใช้มาตราส่วน 1 : 200,000 เหมือนกัน 

หลายปีต่อมา ประเทศไทยก็มีความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ ก็ช่วยทำแผนที่ชุดหนึ่ง เป็น Lซีรีส์ ปัจจุบันที่เราใช้อยู่คือ ซีรีส์ L7017 ตอนหลังกรมแผนที่ทหารของไทยมีความชำนาญมากขึ้น ก็อัปเกรดเป็น L7018 มาตราส่วนคือ 1 : 50,000 (1 ส่วนในแผนที่ = 50,000 ส่วนในภูมิประเทศจริง) มันก็แคบลงมาหน่อย เราก็มองเห็นอะไรมากขึ้นในพื้นที่จริง

ที่นี้ผู้เชี่ยวชาญทางแผนที่ทั้งหลาย ที่ได้ศึกษาแผนที่ทั้ง 2 ชุดนี้ ที่จัดทำขึ้นโดยเทคนิคที่แตกต่างกัน ทำให้แผนที่บอกระยะ และลักษณะความกว้างยาวของภูมิประเทศไม่ตรงกัน ไม่เหมือนกัน พอมีการเอาแผนที่ทั้ง 2 ชุดมาทาบกันดู ซึ่งฝ่ายไทยก็มีคนลองเอามาทาบกันทางเทคนิค ปรากฏว่า มันจะทำให้ไทยสูญเสียดินแดนไปอีกมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่ยอมกัน

ในการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชา ไทยก็ยืนกรานว่า ถ้าจะใช้แผนที่ใหม่ แผนที่นั้นจริงๆ แล้ว ถ้าว่ากันทางเทคนิคของกฎหมายก็คือคณะกรรมการปักปันเขตแดนชุดที่ทำอยู่นั้นหมดอายุลง จึงเลิกราไป ก่อนที่แผนที่จะพิมพ์ออกมา ถือว่าคณะกรรมการยังไม่ได้ให้การรับรองแผนที่ แต่ต่อให้ยังรับรองแผนที่ชุดใหม่ ซึ่งสมัยนั้นก็ใช้สเกล 1 : 200,000 ทั้งนั้น มันก็ไม่ค่อยต่างกัน

ถ้าบอกว่าแผนที่ชุดใดรับรอง หรือไม่รับรอง มันก็ทำด้วยสเกลเดียวกัน และเทคนิคแบบเดียวกัน แต่แผนที่ใหม่ที่เราใช้ เราทำด้วยเทคนิคที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ระยะทาง และขนาดพื้นที่ในภูมิประเทศจริง มันผิดเพี้ยน ไม่ตรงกัน จึงเกิดข้อตกลงว่า ควรจะใช้อะไร แต่ในเอ็มโอยู 43 บอกให้ยึดแผนที่ที่ทำขึ้นในสมัยนั้น ไม่ใช่แผนที่ใหม่ ซึ่งทหารไทยใช้ดูเป็นเส้นปฏิบัติการคร่าวๆ ว่าเขตเราประมาณนี้ แต่มันยังไม่ใช่เป๊ะๆ เพราะฉะนั้นเวลาพิพาทกัน ที่บอกว่าของเราของเขา จึงยังพูดได้ไม่เต็มปาก

ขณะที่กัมพูชามีแผนที่อยู่หลายชุด หลายระวาง 1 : 50,000 ก็มี L ซีรีส์ก็มี เขามี L7016 สหรัฐอเมริกาก็ทำให้เหมือนกัน แต่พอมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง และรัฐบาลที่มาจากระบอบใหม่ เขมรแดง แล้วต่อเนื่องด้วยระบอบฮุนเซน เขาต่อต้านสหรัฐฯ เพราะฉะนั้น จึงไม่ค่อยใช้แผนที่ชุดนั้น แต่กลับไปใช้แผนที่ของฝรั่งเศส เพราะเคยได้รับการกล่าวถึงในสนธิสัญญา และถูกกล่าวถึงครั้งหนึ่งในเอ็มโอยู 43 ว่าอะไรคือหลักฐานที่เป็นทางการ ที่ตกลงร่วมกันทั้งสองฝ่าย รายละเอียดยังเห็นไม่ตรงกัน แต่หลักๆ เห็นตรงกันแล้วว่า หลักฐานที่เราใช้ มีอยู่แค่นี้

ทั้งนี้ เอ็มโอยู 43 มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือให้ทั้งสองฝ่าย สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนเสร็จแล้ว ให้ทำแผนที่ฉบับใหม่ขึ้นมา โดยเทคนิคใหม่ หรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าเจอเส้นเขตแดน หลักเขตแดนแล้ว ก็ปักปันกันใหม่เลย แล้วก็ทำแผนที่ เพื่อระบุให้ตรงกัน ต่อไปให้ใช้แผนที่นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรจะต้องทำกันต่อไป

ถ้ายึดหลักการที่ตกลงกันไว้ทั้งสองฝ่าย เมื่อเจอว่ามีการขุด หรือเป็นแปลงภูมิประเทศในเอ็มโอยู 43 ข้อ 5 เขียนไว้ชัดเจน เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดน หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ ห้ามเข้าไปทำการใด ที่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะสภาพแวดล้อมของภูมิประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเขต ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สันปันน้ำ ถ้าไปขุดเจาะทิศทางน้ำจะเปลี่ยน

ขณะที่นักวิชาการ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช ​มองสถานการณ์ขณะนี้ว่า กรณีที่เกิดขึ้น กัมพูชามีรูปแบบความเคลื่อนไหวในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ แม้เป็นรัฐเล็กๆ แต่มักจะทำให้ประเทศของตน มีที่ทางในเวทีระหว่างประเทศค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับสัดส่วนขนาดภูมิศาสตร์ และประชากรของประเทศ 

ขณะที่ประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ติดกับประเทศที่มีนโยบายการต่างประเทศอย่างนี้ และสมเด็จฮุน เซนก็ได้ชื่อว่าเป็น “มาเคียเวลลี” (Machiavelli) แห่งอุษาคเนย์ ซึ่งมาเคียเวลลี คือ นักทฤษฎีการเมืองที่เน้นอุบาย มายากล ฉ้อฉลทางการเมืองระหว่างประเทศ ไม่เน้นศีลธรรม เข้ากับอำนาจและผลประโยชน์ สไตล์การดำเนินนโยบายที่ออกมาจากพนมเปญ โดยเฉพาะทางระบอบฮุน เซน ฮุน มาเนต มันออกรูปรอยมาแบบนี้ และวิวัฒนาการประวัติศาสตร์กัมพูชาก็มีลักษณะแบบนี้เช่นกัน 

ดังนั้นประเทศไทยก็ต้องมาดูว่า การทูตสุภาพบุรุษของเราอย่างเดียว จะเอาอยู่หรือไม่ กับเพื่อนบ้านฟากบูรพา ที่มีสไตล์การทูตอีกแบบหนึ่ง เราควรปรับนโยบายต่างประเทศ หรือเทคนิคการต่อสู้ ให้เท่าทันทางกัมพูชาบ้าง เพราะทางนั้นเขาจะมีความพลิ้วไหว และมีเล่ห์กลทางการทูตมากพอสมควร

“ขอขยายคำว่าพลิ้วไหวผสมบิดพลิ้ว ที่พลิ้วไหวก็คือ เน้นปรับไหลไปตามสถานการณ์ ตามอำนาจ เพื่อนบ้านมีอำนาจ มีกำลังวังชา เขาอาจจะเงียบ อาจไม่มีการยั่วยุ แต่ถ้าเพื่อนบ้านดูอ่อนแอ จะมีการยั่วยุทางการทหาร ตั้งแต่ระดับต่ำ ระดับกลาง หรือใช้ปฏิบัติการทางวัฒนธรรมจิตวิทยา แต่ถ้าเพื่อนบ้านเข้มแข็ง หรือเกมการต่อสู้มันเปลี่ยนแปลงไป เขาก็พร้อมจะปรับท่าทีอย่างว่องไวอยู่เสมอ อันนี้คือความพลิ้วไหว” 

“และที่ผสมความบิดพลิ้วก็เพราะการทูตลักษณะนี้ จะไม่เน้นเรื่องของสัญญาข้อตกลง จะบิดอยู่ตลอดเวลา จะเติมข้อเรียกร้อง หรือข้อสรุปตามที่ตัวเองต้องการใส่ไปเสมอ เช่น เจรจาสองฝ่าย ได้ข้อสรุปแบบนี้ แต่พอกลับไปแล้ว ก็ไปเพิ่มข้อสรุปขึ้นมา ให้แตกต่างออกไป ซึ่งทำให้คู่เจรจาตามไม่ทัน อันนี้ก็เป็นการทูตแบบพลิ้วไหวผสมบิดพลิ้ว ซึ่งก็เป็นคาแรกเตอร์ ถ้ามองการเมืองกัมพูชาดีๆ โดยเฉพาะเทคนิคนโยบายต่างประเทศของฮุน เซน ก็จะเห็นภาพแบบนี้มาประมาณหนึ่ง”

ในทางวิชาการ สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ก็มีงานวรรณกรรมของนักวิชาการ ที่เขียนเกี่ยวกับกัมพูชา เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ ตั้งแต่สมัยเจ้านโรดมสีหนุเรื่อยมา มีแพตเทิร์นแบบนี้ ปรับพลิ้วไปตามการเมืองระหว่างประเทศ ตามอำนาจระหว่างประเทศ และทำให้รัฐขนาดเล็ก มีเทคนิควิธีการ ที่จะทำให้เขาเสียงดังขึ้น หรือมีบทบาทมากขึ้น สามารถสู้กับรัฐที่ใหญ่กว่าได้ จึงมีงานวรรณกรรมต่างๆรองรับ แม้กระทั่งงานเขียนของนักวิชาการฝรั่งเอง หรือแม้กระทั่งนักวิชาการกัมพูชา ก็มีงานออกมา เกี่ยวกับสมเด็จฮุน เซน มากมายทั้งแง่ชื่นชม และวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน เราสามารถอ้างอิงถึงงานเหล่านี้ได้

รศ.ดร.ดุลยภาค ยังมองถึงสถานการณ์การเมืองในกัมพูชาว่าความพยายามใช้ประเด็นความคลั่งชาติ มากลบประเด็นการบริหาร ที่พ่อ (ฮุน เซน) ส่งต่อมรดกทางการเมืองให้กับลูก (ฮุน มาเนต) ที่บริหารมาเกือบ 40 ปี ไม่ทำให้กัมพูชาดีขึ้น เศรษฐกิจก็มีปัญหา เวลาเรามองการเมืองกัมพูชา ว่าการเมืองภายในประเทศ เกี่ยวพันกับการเมืองระหว่างประเทศ เช่น ฐานอำนาจ หรือคะแนนนิยมของฮุน เซนอาจจะไม่ค่อยสู้ดีนัก ก็เอาเพื่อนบ้านมาเป็นศัตรู แล้วปลุกกระแสชาตินิยม และทำให้เห็นว่า สามารถเอาชนะเพื่อนบ้านได้ ทำให้คะแนนนิยมเพิ่ม มันก็มองได้

ในงานวิชาการ ก็มีแนวศึกษาทฤษฎีแบบนั้นอยู่ ในเรื่องการเมืองเกี่ยวพัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด คิดว่ามันไปไกลกว่านั้น คือเจตนารมย์ของฮุน เซน ฮุน มาเนต รวมถึงคนกัมพูชาจำนวนหนึ่งด้วยซ้ำ คิดว่าเค้าอยากได้อาณาเขตเพิ่ม อยากได้ดินแดนเพิ่ม แล้วแบ่งเป็นยุทธศาสตร์ 2 ขา คือแบ่งเป็นปีกทางบก คือต้องการดินแดนเพิ่มในฝั่งเทือกเขาพนมดงรักที่ติดกับอีสานใต้ของไทย กับอีกปีกหนึ่ง คือปีกทางทะเล ก็คือ ทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยและเกาะกูด คิดว่านี่คือแรงปรารถนาขั้นสุดสูงสุดของรัฐกัมพูชา 

ดังนั้นการที่เขาเคลื่อนไหวอยู่ทุกวันนี้ หรือที่ผ่านมาในอดีต ตามจังหวะโอกาส มันก็ตอบสนองตรงนี้ คือการพยายามผนวกเพื่อให้ได้ดินแดนเพิ่ม จริงๆ แล้วไม่ได้มีกับไทยอย่างเดียว แต่ของไทยเขาอาจจะเล่นมากหน่อย แต่จริงๆ แล้วกัมพูชาก็มีวิวัฒนาการในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติสมัยใหม่ ก็เคยมีปัญหาแบบนี้กับทางเวียดนามด้วย ไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็มีการเผชิญหน้าของกองทหารกัมพูชากับกองทัพลาวด้วยซ้ำไป ตรงเส้นพรมแดนเขาก็มีปัญหากับเพื่อนบ้านหมด

ทั้งนี้ยุทธศาสตร์การเพิ่มอาณาเขต ได้กระทำมาอย่างต่อเนื่อง เป็นวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เราจะเห็นว่า ตั้งแต่ปี 2503 ศึกพระวิหารที่ศาลโลก ตั้งแต่สมัยเจ้านโรดมสีหนุกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แล้วก็เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ เขาใช้กลยุทธ์ต่อยอดจากความได้เปรียบ ในคำตัดสินศาลโลก ต่อยอดมาเรื่อยๆ คิดว่าตรงนี้ เป็นจุดที่เขาให้น้ำหนัก

เรื่องการอ้างอิงแผนที่แต่ละฝ่ายของกัมพูชา ก็พยายามจะเคลมว่า เป็นหลักฐานจากมรดกเจ้าอาณานิคมจากฝรั่งเศส สัดส่วนที่ว่ามา เป็นสัดส่วนที่หยาบมาก ซึ่งทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการปักปัน ปักหลักเขตแดนอยู่แล้ว ซึ่งของไทย เราจะละเอียดกว่า แต่เขาถือแบบนั้น เราก็ถืออีกแบบหนึ่ง ก็เป็นส่วนที่แตกต่างกัน ก็เคารพซึ่งกันและกัน ตามที่หลักฐานแต่ละฝ่ายใช้

เรามีเอ็มโอยู 43 ซึ่งวางแนวปฏิบัติ ถ้าเป็นภาษาเข้าใจง่ายๆ คือเป็นเขตปลอดทหารขึ้นมาด้วย จุดไหนที่ยังไม่แน่ใจ หรือต่างฝ่ายต่างเคลมกันอยู่ ก็ถอยกำลังทหารออกไป แล้วงดสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ เพื่อไม่ให้เกิดการปรับเปลี่ยนภูมิประเทศ เปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดน ต่อไปต้องกลับสู่จุดที่เกิดเหตุ 

ล่าสุดในกรณีช่องบก ทำไมทหารกัมพูชาถึงมาขุดคูเลต หรือสร้างสิ่งปลูกสร้าง ในที่ที่กำหนดห้ามในเอ็มโอยู 43 ทำไมเราไม่กระทุ้งถามทางกัมพูชาตรงนี้ต่อ ซึ่งกัมพูชาพยายามหลบและกลบประเด็นนี้ แล้วบอกว่าไทยเป็นผู้รุกราน เพราะทหารกัมพูชาเสียชีวิต แล้วเดินเรื่องไปสู่ศาลโลกเลย ทำไมกัมพูชาไม่มาร่วมมือกับไทยในการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในระดับพื้นที่ก่อน จุดนี้ต้องเคลียร์ให้ชัดก่อนที่จะนำไปสู่ศาลโลก 

ในแง่ทฤษฎีและหลักปฏิบัติ เรื่อง Conflict Management (การบริหารความขัดแย้ง) ต้องไต่จากระดับจากเบาไปหาหนัก ไต่จากระดับที่เกิดเหตุจุดเล็กๆ ในท้องถิ่น แก้ตามกลไกที่มีอยู่ แต่กัมพูชาก็ไม่ได้ใช้ตรงนี้ แต่พยายามข้ามขั้นไปศาลโลกเลย แล้วก็กลบประเด็นในเรื่องสิ่งปลูกสร้าง การยั่วยุทางทหาร เขาไม่คุย แค่บอกว่าไทยทำ แล้วก็ไปสู่ศาลโลก นี่คือความผิดปกติ และเป็นความไม่อดทนอดกลั้นต่อกระบวนการสันติภาพ เพราะไม่ได้ใช้กลไก ไม่ได้ใช้การตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบก่อน เดินแบบฝ่ายเดียวไปฟ้องศาลโลก ดังนั้นเรื่อง Conflict Management จึงต้องทบทวนบทบาทกัมพูชาตรงนี้ด้วยเหมือนกัน

เจตนารมย์หลักที่กัมพูชาไปยื่นศาลโลกอีกครั้ง คือต้องการจะนำสิ่งที่ศาลโลกวินิจฉัย ในกรณีปราสาทพระวิหารที่ผ่านมา มาทำอาณาเขตต่อเนื่อง โดยใช้แผนที่ ซึ่งเป็นมรดกจากฝรั่งเศส ที่เราว่ากันว่ามันไม่ละเอียดนี้ ขึงพืดทางแถบอีสานใต้ เขาถึงจะเอากลุ่มปราสาทตาเมือน ช่องบก และสามเหลี่ยมมรกตด้วย มันเกิดจากตรงนี้ เขาต้องการจะให้ศาลโลกขยายตีความเพื่อเพิ่มแนวอาณาเขตต่อเนื่อง ในลักษณะที่เป็นคุณต่อเขา ทีนี้ของเราไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก 

แถลงการณ์รัฐบาลไทยวันก่อนก็น่าสนใจ เพราะรัฐบาลไทยแจ้งว่า ไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503 เพราะสมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ปี 2567 เราประกาศว่าไม่รับอำนาจศาลโลก แต่ในแถลงการณ์ล่าสุดนี้ เราถอยไปถึงปี 2503 ซึ่งเป็นยุคที่เราเสียปราสาทพระวิหารในคำตัดสินของศาลโลก สมัยจอมพลสฤษดิ์ อันนี้ก็น่าคิดว่า การถอยไทม์ไลน์ทางประวัติศาสตร์ ไปสู่จุดตั้งต้นของไทย น่าจะมีเกมอะไรซ่อนอยู่ในการต่อสู้ ในเรื่องรูปคดี เมื่อเราไม่รับอำนาจศาลโลกแล้ว แต่ก็มีวงประชุมในระบบยุติธรรมอื่นๆ ในระดับโลก อาจจะทำให้เกิดการตีความใหม่ๆ ที่เป็นคุณต่อไทยได้หรือไม่ในเวทีทางกฎหมายระหว่างประเทศ ผมมองตัวข้อความและบริบทแวดล้อม น่าสนใจว่าเรามีอะไรกลยุทธ์อะไรซ่อนอยู่

รศ.ดร.ดุลยภาค มองถึงแนวทางที่กัมพูชาจะขึ้นศาลโลกฝ่ายเดียว ก็เพื่อนำประเด็นข้อกล่าวหาต่างๆ เพื่อตั้งธงรูปคดีต่างๆ ให้เป็นทรงขึ้นมา แล้วแสวงหาความชอบธรรมในเวทีศาลระหว่างประเทศ จากแถลงการณ์ของฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา ที่ระบุว่า กัมพูชาต้องยืนหยัดและตอบโต้การรุกรานจากไทยบนพื้นฐาน ที่เรียกว่า Territorial Identities หมายถึงกัมพูชามีอัตลักษณ์เชิงดินแดนที่จะต้องปกป้อง คำนี้อันตรายมาก เพราะในทางทฤษฎี หมายถึงการใส่อารมณ์ความรู้สึกเข้าไปในอาณาเขต บริเวณไหนก็ได้ ที่คิดว่าเป็นของตัวเอง เป็นบ้านเมืองของตัวเอง 

นั่นหมายความว่า มีปราสาทหินใด ที่กัมพูชาคิดว่าเป็นอิทธิพลของเขา และอยู่ในประเทศไทย แล้วเขาผูกพันด้วย เขาก็เคลมเป็นดินแดนของเขา ซึ่งแนวคิดนี้อันตรายต่อการอยู่ร่วมกันโดยสันติ ในประชาคมอาเซียน หรือในประชาคมระหว่างประเทศ ถ้าคิดแบบนี้ก็เท่ากับว่า ที่ไหนก็ตามที่กัมพูชารู้สึกว่าอยากเอามาเป็นของตัวเอง ไม่ว่ามรดกทางวัฒนธรรม หรือเส้นเขตแดน เขาก็มีความชอบธรรมที่จะทำเช่นนั้น ซึ่งมันเป็นการรุกรานประเทศอื่นๆ และขัดต่อบรรยากาศสันติภาพ 

คิดว่าเป็นหลักฐานที่มัดนายกฯ ฮุน มาเนต โดยเฉพาะ ว่าทำให้รัฐบาลกัมพูชาไม่เคารพ ไม่อดทนอดกลั้นต่อสันติภาพ เพราะจะเคลมตลอด แล้วก็ใส่อารมณ์ความรู้สึก ทำให้เกิดการคลั่งชาติ เกิดความรู้สึกต่อต้านหวาดระแวงต่างชาติ ซึ่งประเทศไทยตกเป็นเหยื่อ เรื่องนี้สำคัญ

ขณะที่การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน รศ.ดร.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 

1.สื่อทั่วไป รวมถึงสื่อพลเมือง สื่อชาวบ้าน ถือว่าการนำเสนอข้อมูลล้นทะลัก หากดูจากแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ ข่าวนี้จะขึ้นฟีดระดับวินาที แต่ประเด็นคือข่าวสารเหล่านั้นมาจากการแชร์ มาจากไวรัล แต่เช็คต้นตอหรือแหล่งข้อมูลไม่ได้ บางทีเป็นการจูงใจที่จะบิดข้อมูล

อย่างไรก็ตาม การนำเสนอต้องอยู่บนหลักของความจริง ใช้ความคิดเชิงเหตุผลให้มาก เพราะสื่อออนไลน์ยุคปัจจุบัน เป็นสื่อที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ จะแฝงดราม่าอยู่ในนั้นด้วย ตรงนี้จึงน่าเป็นห่วงสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน

2.สื่อกระแสหลัก มีการนำเสนอน้อยกว่า เนื้อหาข้อมูลต้องผ่านกองบรรณาธิการ ต้องตรวจสอบ ตรวจทานข้อมูล ฉะนั้นความถี่ในการนำเสนอข่าวของสื่อหลักในเรื่องนี้ ย่อมน้อยสื่อออนไลน์ แต่มีความน่าเชื่อถือขององค์กรสื่อนั้นๆ รวมถึงตัวบุคคลที่นำเสนอ

สำหรับคุณภาพในการนำเสนอข่าวของสื่อกระแสหลัก โดยรวมอยู่ในจุดที่รับได้ เพราะยังทำได้ดีกว่านี้ สิ่งที่อยากเสนอ นอกจากการรายงานความคืบหน้าของสถานการณ์ เพื่อเป็นประโยชน์มากกว่านี้ อาจจะต้องเติมอีก 2 ด้านเข้าไปด้วย นั่นคือ 

1.มิติความสัมพันธ์ในระดับตั้งแต่ชุมชน คือชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ ชาวบ้านและกลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในหมู่เพื่อนฝูงญาติพี่น้องหรือเครือญาติที่มีอยู่ในสองแผ่นดิน ความสัมพันธ์อาจจะโยงไปถึงเรื่องของการค้าขาย หรือความสัมพันธ์ในเชิงวัฒนธรรม ที่ไปมาหาสู่กันมันยังขาดมิติเหล่านี้ไป

2. อีกลักษณะหนึ่ง คือในเชิงประวัติศาสตร์ ภาพที่ใหญ่กว่านั้น เพราะไทยกับกัมพูชา ไม่ใช่แค่เพื่อนบ้าน แต่คือความเป็นเครือญาติกันมาเป็น 100 ปี 1,000 ปี มิติที่บอกถึงความลึกของความสัมพันธ์ จะช่วยให้มีข้อมูล มีความรู้เพิ่มมากกว่าสถานการณ์ปัจจุบันที่ล่อแหลมว่าจะรบกันเมื่อไหร่ 

สำหรับการนำเสนอข่าวในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ มีคำแนะนำสื่อ และประชาชนที่บริโภคข้อมูลข่าวสารอย่างไร รศ.ดร.อัศวิน กล่าวว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้วปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่า จะเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ได้นับหนึ่งเมื่อปี 2558 และก่อนหน้าหน้านั้นรัฐบาลทุ่มงบประมาณลงไปมาก พยายามสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนคนไทยว่า อาเซียนจะต้องอยู่ด้วยกัน จับมือกัน แต่พอเกิดข่าวลักษณะข้อพิพาทขัดแย้ง สิ่งที่พยายามสร้างกันมา 10-15 ปี มันหายไปภายในพริบตา เหมือนไม่เคยซึมลึกเข้าไปสู่ระดับขั้นของจิตสำนึกจิตจิตวิญญาณ 

หากเปรียบเทียบกับสมาชิกของประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในอียู 27 ประเทศ เขามองเรื่องความเจริญมั่งคั่ง และมีความผาสุกไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นการที่จะผิดใจกัน มันไม่พาไปสู่ความขัดแย้งบ้านปลายแน่นอน 

สำหรับสื่อกระแสหลัก อาจจะต้องช่วยพยุงสถานการณ์ของสังคมในภาพใหญ่ ภาพรวม ภาพลักษณ์ให้มั่นคง คือไม่ไปสู่กระแสของวารสารศาสตร์เชิงสงคราม หรือ War Journalism ภาวะแบบนั้น ถ้าถลำไปเรื่อยๆ แล้วมันหยุดไม่ได้ ดูตัวอย่างสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนเพราะเริ่มนับหนึ่งแล้ว  3 ปียังจบไม่ ทั้งที่เกิดความเสียหาย คนเสียชีวิต มันมหาศาล จึงอยากฝากความหวังว่า ถ้าสื่อกระแสหลักช่วยดึงสติของสังคม และมองระยะยาว มองภาพใหญ่มากกว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นตามชายแดน เชื่อว่ายังมีกลไกที่จะหาทางออกร่วมกันได้อยู่ 

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศทางข่าวสารในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าดุเดือดมาก ช่วงนี้ก็ยังเป็นช่วงเริ่มต้นอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากความเป็นชาตินิยม ซึ่งมีอยู่ทุกประเทศ ไม่แปลกที่ประชาชนในประเทศใดประเทศหนึ่งจะรักชาติ ไม่ผิด เป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำ แต่ความรักชาติไม่จำเป็นต้องไปเกลียดคนอื่น หรือไปทะเลาะกับคนที่อยู่ติดกัน 

สภาพความเป็นจริงที่เราเป็นอยู่ มันอาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ แต่ถ้าเรารู้เท่าทัน แล้วดึงมันถอยหลังกลับมานิดหนึ่ง ตั้งหลักใหม่ มันก็จะไม่พาไปสู่ War Journalism เพราะถ้าโต้กันไปมา ตาต่อตาฟันต่อฟัน ถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดปะทะ

แม้จะมีข้อเสนอจากประชาชน หรือฝ่ายต่างๆ ที่เราเป็นกองเชียร์ ซึ่งการเป็นกองเชียร์ไม่ได้เสียหายอะไร การชื่นชมกองทัพ หรือทหาร เป็นเรื่องปกติ เหมือนเชียร์กีฬา เพียงแต่ว่าในบทบาทความเป็นกองเชียร์ เราไม่ร่วมสาดน้ำมันลงไปในกองเพลิง เราต้องมีความรู้เท่าทันว่ามันอาจจะมีอะไรที่ใหญ่ และเป็นประเด็นลุกลามบานปลายได้ โดยเฉพาะเรื่องประเด็นสภาวะทางการเงินและเศรษฐกิจ ก็ยังผูกโยงกันอยู่

ต้องยอมรับว่า ทั้งเราและกัมพูชา มีปัญหาเศรษฐกิจทั้งคู่ แต่ที่หนักกว่านั้นคือ ปัญหาทางการเมือง ซึ่งเราเลือกตั้งมา 2 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเสถียรภาพตลอดเวลา ในแง่ของพรรคร่วมรัฐบาล ตรงนี้ก็เป็นความคลอนแคลน เป็นจุดอ่อนไหว ที่ประเด็นลักษณะนี้ มันจะแทรกตัวเข้ามาในปัญหาการเมืองภายใน 

เทียบเคียงได้กับปัญหาของกัมพูชา ก็เช่นเดียวกัน การสืบทอดอำนาจ 40 ปีของฮุน เซน ที่ต้องพยายามกระชับความเข้มแข็งของรัฐบาลตัวเองเช่นเดียวกัน ดังนั้นประเด็นดินแดนและชายแดน ก็อาจจะเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่ง ที่เขาใช้เพื่อความมั่นคงแข็งแรงทางการเมืองของเขาเองด้วย อีกส่วนหนึ่ง เรื่องเศรษฐกิจกัมพูชา ก็เผชิญปัญหาจากทุนใหญ่จากจีนด้วยเหมือนกัน

กลุ่มอำนาจทางการเมืองหลายๆ กลุ่มกำลังช่วงชิงความได้เปรียบ อาจจะใช้จุดอ่อนไหวทางชายแดน เพื่อชิงความได้เปรียบของตัวเอง ปัญหากัมพูชาตอนนี้มีแต่อยู่ในสเกลที่เล็ก แต่ความมีตรงนั้น ถูกขยายปัญหา ที่ใหญ่กว่านั้นคือปัญหาการเมืองภายใน ตรงนี้เกิดขึ้นทั้งฝั่งเราและฝั่งกัมพูชาด้วย

สำหรับไทย การใช้กลไกสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นเวทีในการกำหนดนโยบาย และแสดงออก สื่อสารกับประชาชน ภาพแบบนี้ช่วยลดความกังวลใจ ความแคลงใจ ความไม่มั่นใจของประชาชนได้ในระดับหนึ่ง 

ส่วนการนำเรื่องไปสู่ศาลโลกของกัมพูชา เรื่องนี้ก็เป็นความยากอีกระดับหนึ่ง ปัญหานี้มันมีหลายระดับ ระดับพื้นที่ ระดับชาติของสองประเทศ ระดับอาเซียน และระดับโลก ซึ่งเวทีนานาชาติแต่ละระดับ จะใช้ความรู้ความสามารถที่แตกต่างกัน ตรงนี้ถ้ารัฐบาลตั้งหลักได้ ต้องวางยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ในการเคลื่อน

ต่อข้อถามสื่อไทยควรรับมืออย่างไร กรณีกัมพูชาใช้สื่อ Propaganda ในประเด็นนี้ รศ.ดร.อัศวิน มองว่ากัมพูชาคิดว่าสื่อกระแสของเขาเล่นเรื่องชาตินิยมแน่นอน เพราะประเทศเขาเล็กกว่า และเคยชินกับสภาวะสงครามมาตลอด จะเห็นได้ว่า 50 ปี เขมร 4 ฝ่ายผลัดกันอยู่ในอำนาจ และผลัดกันรบตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการใช้สื่อเพื่อปลุกเร้าความเป็นชาตินิยมของกัมพูชานั้น จึงใช้มาโดยตลอด และยาวนาน 

ส่วนของเรา คิดว่าเราไม่ได้รับผลกระทบในแง่ที่เขาจะมา Propaganda เรา เพียงแต่เวลาเราไปเอาข่าวสารเขามา ต้องทำความเข้าใจหรือหากนำมาแปล ต้องใช้ความรู้เท่าทันกำกับไปด้วยอีกชั้นหนึ่ง เพื่อไม่ให้ตกหลุมพรางในสิ่งที่เขาพยายามเขย่าตรงนั้น

สำหรับในแง่มุมประชาชน การติดตามความเคลื่อนไหวความคืบหน้าสถานการณ์ธรรมดาทำได้ปกติ แต่ถ้าเป็นเรื่องความคิดเห็น เริ่มจะมีการเร้าอารมณ์มากขึ้น อยากให้พิจารณาในหลายมุมหลายด้านหลายแหล่ง มองมุมกว้างเพิ่มขึ้น ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบได้แต่ก็ระมัดระวัง อย่าให้ถึงขั้นเราทะเลาะกันเอง หรือทะเลาะกับเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง เพราะระยะยาวไม่ส่งผลดี.