
เวทีเสวนาครบรอบ 28 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติระดับภูมิภาค ที่ จ.ตราด หัวข้อ “ข่าวลวง ข่าวปลอม เกาะกูด” ถกปัญหาข่าวเขตแดน เกาะกูดเป็นของใคร? ชัดเจนว่า “เกาะกูด เป็นของไทย” แต่การนำเสนอข่าวที่มีการบิดเบือนไม่รอบด้าน ส่งผลกระทบกับพื้นที่ แนะสื่อทำข่าวต้องตรวจสอบ และอยู่บนฐานข้อเท็จจริง
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ โรงแรมตราดซิตี้ อ.เมือง จ.ตราด นายณัฐพงษ์ สงวนจิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ นายภูวสิษฏ์ สุขใส รองเลขาธิการฯ นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ กรรมการ นายจักรกฤชณ์ แววคล้ายหงษ์ กรรมการ และคณะอนุกรรมการจากส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ (ประชามติตราด จ.ตราด) นายกันณพงศ์ ก.บัวเกษร นางสาวมนรัตน์ ก.บัวเกษร (นครเชียงราย) นายชลวิวัฒน์ โฆษิตชัยวัฒน์ (หัวหินสาร จ.ประจวบคีรีขันธ์) ร่วมงาน พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรเอกชน สื่อมวลชน จ.ตราด และจันทบุรี เข้าร่วมงาน “34 ปีประชามติตราด/28 ปีสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ”

นายณัฐพงษ์ สงวนจิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสหนังสือพิมพ์ประชามติตราดครบรอบ 34 ปี และกล่าวต้อนรับคณะจากสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ พร้อมขอบคุณสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ใช้จังหวัดตราดเป็นสถานที่ในการจัดงานครบรอบ 28 ปีในส่วนภูมิภาคครั้งนี้
จากนั้น เป็นการเปิดวีทีอาร์ “28 ปีสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ” ที่ระบุถึงความเป็นมาและบทบาทหน้าที่ของสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติจบแล้ว นายชวรงค์ ได้ขึ้นกล่าวเปิดงาน พร้อมอธิบายถึงองค์กรวิชาชีพสื่ออย่างสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ที่รวมตัวกันขึ้นเพื่อเจตนาในการกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรมของสมาชิกที่เป้นสื่อมวลชนจากทั่วประเทศ ทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อออนไลน์ โดยหนังสือพิมพ์ประชามติตราด ก็เป็นองค์กรสมาชิกฉบับหนึ่งที่เข้ามาเป็นสมาชิกและได้รับการยอมรับว่า เป็นหนังสือพิมพ์ที่ทำหน้าที่ได้อย่างดี ได้รับรางวัลจากผลงานข่าวมากมาย โดยเฉพาะปัญหาด้านจริยธรรมไม่เคยได้รับการร้องเรียนใดๆ และในยุคที่สื่อมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สื่อออนไลน์ ก็สามารถปรับเปลี่ยนมาสู่สื่อออนไลน์ได้เป็นอย่างดี และมีทายาทมาสานต่อแนวทางการทำงานได้เป็นอย่างดี
สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ที่ได้จัดตั้งมาถึงวันนี้ ได้ทำหน้าที่กำกับดูแลด้านจริยธรรมของสื่อมวลชนที่เป็นสมาชิก ซึ่งวันนี้ สถานการณ์ชายแดนด้านไทยและกัมพูชามีความขัดแย้งกัน และมีการรายงานข่าวที่แตกต่างกันออกไป และยังมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง โดยเฉพาะอำเภอเกาะกูด ที่เป็นพื้นที่รอยต่อทางทะเล และยังมีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลด้วย

นายชวรงค์ กล่าวอีกว่า การเสวนาในหัวข้อ“ข่าวจริง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด” เป็นการกำหนดหัวข้อไว้ก่อนท่าเกิดความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในวันนี้ ซึ่งการเสวนาครั้งนี้จะมีวิทยากรที่มีความรู้ ความสามารถ ทั้งจากสื่อมวลชนระดับชาติ ระดับท้องถิ่น นักวิชาการด้านวารสารศาสตร์ และผู้บริหารท้องถิ่นของเกาะกูด ที่อยู่ในระดับพื้นที่โดยตรง จึงน่าจะทำให้ได้ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
จากนั้น เป็นการเสวนาในหัวข้อ “ข่าวจริง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด” โดยวิทยากร ประกอบด้วย ผศ.ดร.เสาวนีย วรรณประภา ผู้ช่วยคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี อดีตบรรณาธิการบริหาร เดอะเนชั่น นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ แอดมินตราดทีวีและเว็บไซต์ตราดออนไลน์ และนายเดชาธร จันทร์อบ นายก อบต.เกาะกูด โดยมี พ.จ.อ.อดิศร จันทรวัฒน์ เจ้าหน้าที่กรมการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศทหารเรือ ดำเนินรายการ

นายสุภลักษณ์ ได้อธิบายถึงการปักปันเขตแดนในอดีต โดยเฉพาะเขตแดนทางทะเล ซึ่งในยุคที่เจ้าอาณานิคมอย่างฝรั่งเศสเข้ามาครอบครองดินแดนได้ทำการปักปันเขตแดนไว้ และได้ทำเอกสารบันทึกไว้แล้วหลังจากรัชกาลที่ 5 ได้แลกจังหวัดตราดกับ 3 จังหวัดในกัมพูชาคือ เสียมราช, ศรีโสภณ และพระตะบอง ท่านได้ระบุไว้ชัดเจนว่า เกาะกูดเป็นของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการจัดพื้นที่ทางทะเลตามหลักสากลที่ยึดไหล่ทวีปแล้ว กัมพูชาได้ทำการขีดเส้นเขตแดนทางทะเลก่อนประเทศไทย และเวียดนาม โดยประเทศไทยได้ประกาศในปี 2512 ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนเกิดขึ้นทางทะเลใต้บริเวณเกาะกูด
รวมทั้งมีเส้นที่ลากเข้ามายังกลางเกาะกูด และหลังจากมีการพบว่าบริเวณนี้มีแหล่งพลังงานทั้งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติจำนวนมาก จึงได้มีการหารือเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกัน และได้ทำบันทึกความเข้าใจ ปี 2544 หรือ MOU-44 ขึ้น ซึ่งบันทึกความเข้าใจ 2544 เป็นการเจรจาแบ่งเขตในพื้นที่ต้องแบ่งกัน เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ 10,000 ตารางกิโลเมตร และได้มีการเจรจาจัดตั้งระบอบพัฒนาร่วม ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ16,000 ตารางกิโลเมตร ให้เจรจาไปพร้อมกันเป็น package เดียวกัน โดยไม่แบ่งแยกตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา ซึ่งทั้งสองประเทศจำต้องมีการหารือกันต่อไป หลังจากการเจรจาได้หยุดไป หรืออาจจะมีการยกเลิกไปและเจรจากันใหม่ รวมทั้งให้ศาลโลกใช้กลไกอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแบ่งพื้นที่ให้เสร็จเด็ดขาดไป

ส่วนดร.เสาวนีย์ กล่าวว่า เมื่อรับรู้ข่าวแล้วต้องตั้งสติก่อน และต้องตรวจสอบทันที และต้องตรวจสอบในหลายแหล่ง หลายช่องทาง และสรุปมีความจริงแค่ไหน เพราะนั่นเป็นวิธีที่จะทำให้ได้ข่าวสารที่ถูกต้อง ซึ่งคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี มีโครงการที่สอนให้นักศึกษาได้เข้าใจในเรื่องการส่งข่าวสารไปยังผู้รับสาร ให้เกิดความถูกต้อง รอบด้าน ไม่เอาข้อมูลเท็จจริงส่งไปให้ เพราะอาจจะเกิดผลกระทบตามมา โดยเฉพาะปัจจุบัน มีสื่อออนไลน์จำนวนมาก และมีการปลอมแปลง URL เกิดขึ้นเสมอ เช่น เพจอีจัน แต่เพจปลอมก็ใช้ชื่อที่คล้ายกัน หรือชื่อเดียวกันแต่มีนามสกุลที่ต่างกันก็ได้แล้ว ซึ่งวิธีนี้หากไม่ตรวจสอบอย่างละเอียดก็อาจจะตกเป็นเหยื่อได้ เราจึงต้องสร้างภูมิคุ้มกันทั้งในระดับนักศึกษาหรือประชาชน เพื่อให้รู้เท่าทันสื่อ
นอกจากนี้แล้ว ทางคณะนิเทศศาสตร์ยังมีโครงการรู้เท่าทันสื่อที่เดินทางไปให้ความรู้ในสถานการศึกษาตอนปลายทั้งในจังหวัดภาคตะวันออก และจังหวัดอื่นๆ ซึ่งในจังหวัดตราดก็เดินทางมาแล้ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการป้องกันไม่ให้ปัญหาเรื่องการรับข่าวสารที่ไม่เป็นจริงได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งสารหากจะนำเสนอข่าวสารควรมองถึงปัญหาและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา หากข่าวนั้น มีข้อมูลไม่รอบด้านและไม่ครบถ้วน จึงควรนำเสนอข่าวสารที่สร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ของสังคมจะดีกว่า

นายเดชาธร จันทร์อบ กล่าวว่า โดยประวัติศาสตร์แล้ว ชาวเกาะกูดกับชาวเกาะกงก็เป็นพี่น้องกัน โดยคนเกาะกงได้อพยพมาอยู่ที่เกาะกูดหลังฝรั่งเศสได้จังหวัดปัตจันคีรีเขตต์ หรือเกาะกง ให้ไปอยู่ในความครอบครองของกัมพูชาทำให้คนไทยในเกาะกงอพยพมาอาศัยอยู่ในเกาะกูด แต่บางส่วนก็ยังอยู่ในเกาะกง ดังนั้นชาวเกาะกงกับชาวเกาะกูดจึงเป็นพี่น้องกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ที่ระบุว่า เกาะกูดเป็นของกัมพูชา ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด เพราะตนเองก็เกิดที่เกาะกูด รุ่นพ่อ รุ่นแม่ก็เป็นชาวเกาะกูดทั้งนั้น ซึ่งวันนี้ เกาะกูดข่าวที่ระบุจากสื่อมวลชนส่วนกลางและสื่อออนไลน์มีการปลุกปั่นว่า เกาะกูดเป็นของกัมพูชานั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นความจริง ชาวเกาะกูดทุกคนเข้าใจและรับรู้ในเรื่องนี้ดีกว่าใคร และไม่ได้รู้สึกอย่างใด หรือสื่อมวลชนท้องถิ่น เขารู้ดีว่า สื่อมวลชนส่วนกลางชอบนำประเด็นนี้ไปนำเสนออย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งมันมีผลกระทบทั้งสองด้าน ก็คือ ทั้งนักท่องเที่ยวลดลง และเพิ่มขึ้นจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้น เพราะอย่างไรคนไทยก็ไม่ได้รู้สึกกลัว ไม่เหมือนนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ส่วนนายกฤษฎาพงษ์ กล่าวว่า ยุคแรกๆ ของการเข้ามาทำข่าวใหม่ๆ สงสัยว่า ทำไมแผนที่ของกัมพูชาขีดลากเส้นเข้ามายังเกาะกูด วันนี้เข้าใจแล้วว่ามีการขีดเส้นเพราะอะไร แต่คนอื่นๆ ไม่ได้รับรู้หรือเข้าใจอย่างทราบในครั้งนี้ ซึ่งข่าวเกี่ยวกับเกาะกูด หรือสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาด้านจังหวัดตราด เวลามีข่าวเกิดขึ้น ก็จะตรวจสอบกับแหล่งข่าวในเกาะกูด โดยเฉพาะ นายก อบต.เกาะกูด และนายอำเภอเกาะกูด เพื่อขอทราบข้อเท็จจริง และก็หาข่าวจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเสมอ เมื่อได้ข้อมูลแน่ชัดจึงจะเขียนเป็นข่าวออกมา และเสนอไปยังต้นสังกัดในส่วนกลาง แต่บางครั้งก็ควบคุมไม่ได้ เพราะในส่วนกลางก็มีนโยบายของแต่ละสังกัด ทำให้ข่าวที่ออกมาในแต่ละสังกัดหยิบยกประเด็นที่แตกต่างกันไป บางครั้งสร้างผลกระทบกับพื้นที่ หรือกระทบกับเศรษฐกิจหรือธุรกิจในพื้นที่ เพราะข่าวมันอ่อนไหว โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ ซึ่งวันนี้ มีสถานการณ์ความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่าง 2 ฝ่าย เขียนข่าวแล้วบางครั้งหาแหล่งข่าวยืนยันได้ยาก โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองที่สร้างข่าวแล้วให้สื่อนำเสนอ บางเรื่องส่งผลกระทบมาก ดังนั้น จึงต้องระวังตัวในการทำงาน และต้องตรวจสอบข่าวให้ได้ความจริงมากที่สุด แต่ก็อาจจะต้องเบรกไว้เช่นกัน เพราะข่าวที่เขียนไปอาจจะกระทบกับความมั่นคงในพื้นที่ได้ ซึ่งความตั้งใจของสื่อมวลชนเพียงต้องการสะท้อนกับความเป็นจริงในพื้นที่เท่านั้น
และนี่คือมุมมองทั้งหมดบนเวทีเสวนา “ข่าวลวง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด” ที่วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านได้สะท้อนถึงบทบาทและหน้าที่ของแต่ละคน ซึ่ง “กรณีเกาะกูด”เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในสถานการณ์ความขัดแย้งของ 2 ประเทศเพื่อนบ้าน โดยอำเภอเกาะกูด เป็นเสมือนเหยื่อของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นท่ามกลางผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองระดับชาติบางคน
………………