รายงานสถานการณ์ด้านจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน ประจำปี 2567
ปี 2567 สื่อมวลชนไทยเผชิญกับความท้าทายในหลายเรื่อง ยังถูกตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือในสถานการณ์ต่างๆ อันเนื่องจากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ : Artificial Intelligence หรือ AI เข้ามาประยุกต์ใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น รวมถึงนิเวศสื่อที่เปลี่ยนไป อำนาจและอิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทสูงขึ้น รวมถึงปัญหาความแพร่หลายของ Fake News หรือ Disinformation ที่ตามมา
สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติในฐานะองค์กรวิชาชีพที่ทำหน้าที่ส่งเสริมการกำกับดูแลกันเองทางจริยธรรมสำหรับสื่อมวลชน ซึ่งยกระดับจากสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 มีเป้าหมายสำคัญคือการส่งเสริมและพัฒนาสื่อมวลชนทุกแขนงให้คงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพบนความรับผิดชอบ มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่พึ่งของสังคม โดยดำเนินงานผ่านคณะกรรมการที่ประกอบด้วยภาคส่วนสำคัญต่างๆ ทั้งนักวิชาชีพ นักวิชาการ นักกฎหมาย และผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาสื่อมวลชนอย่างเข้มแข็ง ได้ติดตามสถานการณ์ด้านจริยธรรมสื่อมวลชนในประเทศไทย และผลักดันกิจกรรมที่จะช่วยให้สื่อมวลชนทุกแขนงสามารถปรับตัว เติบโต เท่าทันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและบริบททางสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยคงไว้ซึ่งจริยธรรมวิชาชีพ และเป็นที่พึ่งพิงของสังคมได้อย่างยั่งยืน
สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จึงจัดทำรายงานสถานการณ์ด้านจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน ประจำปี 2567 ดังนี้
1. การประกาศใช้แนวปฏิบัติ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เรื่อง การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้เป็นไปตามจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ.2567
แนวปฏิบัตินี้มีทั้งสิ้น 5 หมวด รวม 15 ข้อ หมวดที่ 1 บททั่วไป หมวดที่ 2 บทนิยาม หมวดที่ 3 การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขององค์กรสื่อมวลชน หมวดที่ 4 การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน/ผู้ปฏิบัติงานสื่อมวลชน/ผู้สนับสนุนการปฏิบัติงานสื่อมวลชน/ผู้สนับสนุนงานข่าว และหมวดที่ 5 การสนับสนุนวิชาชีพและการพิจารณาเรื่องร้องเรียน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2567
เหตุผลในการจัดทำแนวปฏิบัตินี้ เนื่องจากในสถานการณ์ปัจจุบัน การผลิตข่าวและการพัฒนาบริบทข่าวของสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และเว็บไซต์ข่าวสารต่าง ๆ ได้เข้าไปใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ : Artificial Intelligence (AI) โดยนำมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตเนื้อหาข่าว ตั้งแต่การแสวงหาข้อมูล รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การเรียบเรียงและปรุงแต่งข้อมูล การสร้างสรรค์เนื้อหา การผลิตข่าวจากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกหลากหลายรูปแบบ ไปจนถึงการเผยแพร่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างสรรค์ผลงานข่าวสารเพื่อให้เกิดความน่าสนใจ แต่การใช้ประโยชน์จาก AI ในงานสื่อสารมวลชนยังมีข้อจำกัดที่ต้องทำความเข้าใจ จึงเห็นสมควรให้มีแนวปฏิบัติในการใช้ AI ให้เป็นไปตามจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลข่าวสาร เนื้อหาข่าวที่เผยแพร่ออกไปนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพและความน่าเชื่อถือ รวมทั้งเพื่อให้เกิดความระมัดระวังในการพัฒนาด้านงานสื่อมวลชนและการใช้เทคโนโลยี AI อย่างเหมาะสมภายใต้กระบวนการตัดสินใจของมนุษย์ และเพื่อให้เกิดการตระหนักถึงจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
สาระสำคัญบางช่วงบางตอนของแนวปฏิบัตินี้ เช่น การใช้ประโยชน์จาก AI ในกระบวนการผลิตเพื่อการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ต้องยึดมั่นในจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนของสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติอย่างเคร่งครัด องค์กรสื่อมวลชนต้องจัดระบบกระบวนการผลิต และวิเคราะห์เนื้อหา ตัวอักษร คลิปเสียง คลิปวิดีโอ ภาพดิจิทัลอย่างรู้เท่าทันข้อมูล โดยตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับจากหลายแหล่งที่มา ก่อนนำไปสร้างสรรค์ประมวลผลด้วย AI จนถึงการเผยแพร่ ต้องมีมนุษย์เป็นผู้กำกับดูแล และรับผิดชอบในทุกกระบวนการ
ภาพข่าว ภาพประกอบข่าว ขององค์กรสื่อมวลชนที่ผลิตด้วย Generative AI ต้องระบุให้ทราบอย่างชัดเจน ด้วยข้อความ การใส่ลายน้ำ หรือตราสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่งลงในภาพที่สื่อความหมายว่า “ผลิตด้วย AI” เพื่อให้ผู้อ่าน หรือผู้รับสารทราบ และเพื่อแสดงความโปร่งใส และความรับผิดชอบด้านมาตรฐานวิชาชีพขององค์กรสื่อมวลชน ขณะที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนฯ ต้องให้ความสำคัญกับข่าว เนื้อหาข่าว ในกระบวนการรายงานข่าว ที่ผลิตโดยมนุษย์
นอกจากนี้ แนวปฏิบัติฯ นี้ ต้องได้รับการตรวจทาน ปรับปรุง ให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มี AI เป็นส่วนร่วม เพื่อให้การใช้ AI สอดรับต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน
องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน พึงจัดให้มีคณะทำงาน หรือที่ปรึกษาส่วนกลาง ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญ หรือบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ AI ด้านความความปลอดภัยไซเบอร์ ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล นักวารสารศาสตร์เชิงข้อมูล ฯลฯ เพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ติดตามประเมินผล และการพัฒนาวิชาชีพ แก่องค์กรสมาชิก เพื่อให้การใช้ AI สอดรับต่อการปฏิบัติงาน และตระหนักถึงความสำคัญของการกำกับดูแล AI อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน และทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
2.การออกแถลงการณ์ร่วม 3 สภาวิชาชีพด้านสื่อมวลชน เรื่อง ขอให้เสนอข่าวตามมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อมวลชน
ไม่บ่อยครั้งนัก และต้องเป็นเรื่องใหญ่ อยู่ในความสนใจของประชาชน องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนจึงจะออกแถลงการณ์ร่วมกัน เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาวิชาชีพกิจการการแพร่ภาพและการกระจายเสียง (ประเทศไทย) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันดังกล่าว ความว่า
ตามที่ปรากฏเหตุการณ์บุคคลสูญหายตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเป็นที่สนใจในสังคมอย่างกว้างขวาง และในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า บุคคลสูญหายดังกล่าวได้ถึงแก่ความตาย โดยผู้ต้องหาซึ่งเป็นสามีของผู้ตายได้รับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุฆาตกรรมภรรยาของตนเอง จากเหตุการณ์ดังกล่าวสื่อมีการนำเสนอข่าวโดยใช้ภาพจากกล้องวงจรปิดขณะที่สามีก่อเหตุใช้ความรุนแรงต่อภรรยาอย่างทารุณโหดร้าย อีกทั้งบุตรซึ่งเป็นเด็กเล็กอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ซึ่งมีลักษณะการนำเสนอข้อมูลและภาพที่กระทบต่อเด็ก และตัวบุคคลที่เป็นการเฉพาะตัวอันอาจเป็นการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน และละเมิดต่อมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อมวลชน รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นั้น
สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาวิชาชีพกิจการการแพร่ภาพและการกระจายเสียง (ประเทศไทย) ซึ่งทำหน้าที่ดูแลเรื่องจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนขององค์กรสมาชิก ได้หารือร่วมกันแล้วเห็นว่า ข่าวดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว และยังมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ หรือผู้ปกครองหรือบุคคลในครอบครัวของเด็ก จึงมีมติให้องค์กรสมาชิกนำเสนอข่าวดังกล่าวโดยยึดมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อมวลชน กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของบุคคลที่ตกเป็นข่าวอย่างเคร่งครัด
การพิจารณาเรื่องร้องเรียนด้านจริยธรรมสื่อมวลชน
ในปี 2567 คณะกรรมการจริยธรรมได้พิจารณาเรื่องร้องเรียน ทั้งร้องเรียนผ่านทางเว็บไซต์ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และเรื่องที่หยิบยกขึ้นมาพิจารณาโดยคณะกรรมการฯ ทั้งสิ้น 9 เรื่อง โดยคณะกรรมการจริยธรรมมีมติให้ยุติการพิจารณา 6 เรื่อง เนื่องจากผู้ร้องใช้สิทธิทางกระบวนการยุติธรรม ผู้ร้องพอใจคำชี้แจงและการนำเสนอข่าวแก้ไขจากผู้ถูกร้อง หรือผู้ถูกร้องไม่ได้เป็นองค์กรสมาชิกของสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ โดยได้ส่งเรื่องให้สภาวิชาชีพที่ผู้ถูกร้องเป็นองค์กรสมาชิก เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกระบวนการของสภาวิชาชีพดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีมติให้เตือนองค์กรสื่อมวลชนที่เป็นสมาชิกให้ระมัดระวังการนำเสนอข่าวผ่านเว็บไซต์ 1 เรื่อง คงเหลืออยู่ในกระบวนการพิจารณา 2 เรื่อง โดยมีเรื่องร้องเรียนสำคัญที่พิจารณาเสร็จสิ้นแล้วดังนี้
1.เรื่องร้องเรียน หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โฆษณาเชิญชวนให้ลงทะเบียนเสียเงินเข้าไปเรียนรู้ดูพระแท้กับปรมาจารย์วงการพระเครื่อง
รายละเอียดเอกสารร้องเรียนระบุว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 6 มกราคม 2567 เวลา 09.00 น. ทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ได้โฆษณาเชิญชวนให้ลงทะเบียนเสียเงินเข้าไปเรียนรู้ดูพระแท้กับปรมาจารย์วงการพระเครื่องเมืองไทย ในราคาหลักสูตรละ 2,500 บาท เมื่อจบหลักสูตรแล้วจะได้นำความรู้นั้นไปแยกแยะพระแท้ พระปลอมตามมาตรฐานสากลได้ด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ทางผู้จัดอบรมรู้อยู่แล้วว่าผู้ที่เชิญมาสอนนั้นไม่มีความรู้ที่จะสามารถยืนยันได้ว่าพระองค์ไหนเป็นพระแท้ และพระองค์ไหนเป็นพระปลอม และมาตรฐานสากลก็ไม่มีอยู่จริง หากทางผู้จัดงานอบรมได้ลงโฆษณาบอกความจริงทั้งหมดผู้คนคงไม่หลงเชื่อเสียเงินลงทะเบียนไปเรียนรู้อย่างแน่นอน เพราะไม่มีอะไรให้เรียนรู้ดูพระแท้ตามมาตรฐานสากลได้เลยตามวัตถุประสงค์ของทางผู้จัดงานที่ได้ลงโฆษณาไว้ ซึ่งผิดจากวัตถุประสงค์ในการโฆษณาเชิญชวนให้มาลงทะเบียนเรียนรู้ดูพระแท้ตามมาตรฐานสากลที่ทางผู้จัดอบรมลงโฆษณาไว้
กรณีนี้ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ชี้แจงว่า สืบเนื่องจาก นสพ.เดลินิวส์ และเดลินิวส์ออนไลน์ ได้จัดโครงการ “เรียนรู้ดูพระแท้กับเดลินิวส์” เกี่ยวกับพระเครื่องเบญจภาคีล้ำค่า โดยได้รับความร่วมมือจากสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย ให้ยืมอุปกรณ์ ตู้พระเครื่องให้จัดโชว์และจัดส่งวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ มีชื่อเสียงในวงการพระเครื่องมาบรรยายให้ความรู้จำนวนมาก โครงการนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี รายได้บางส่วนหลังหักค่าใช่จ่ายมอบให้ โรงพยาบาลสงฆ์ ตามวัตถุประสงค์
ส่วนกรณีผู้ร้องเรียนได้สมัครเข้าอบรมในครั้งที่ 1 (6 มกราคม 2567) ครั้งเดียวเกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆัง ตลอดการบรรยายได้ซักถามข้อสงสัยอย่างต่อเนื่อง พยายามถามย้ำพระแท้ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลหรือไม่ มีการเซ็นเอ็มโอยูหรือไม่ วิทยากรตอบย้ำไปหลายครั้งว่า มาตรฐานสากลไม่ได้ เพราะต่างชาติไม่ได้รับถือศาสนาพุทธ มีเพียงชนชาติแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เชื่อถือศรัทธาและการบรรยายก็ยึดมาตรฐานนิยมของสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทยที่กลุ่มคนส่วนใหญ่เชื่อถือ จนจบการบรรยาย ผู้ร้องได้รับประกาศนียบัตรพร้อมผู้เข้าอบรมคนอื่นๆ
ต่อมาวันที่ 11 มกราคม 2567 ผู้ร้องไปร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เจรจาไกล่เกลี่ยจนผู้ร้องยอมยุติเรื่อง แต่ยังอ้างว่า พระสมเด็จวัดระฆังแท้ต้องเป็นไปตามความคิดของผู้ร้องคนเดียวเท่านั้น เพราะรับสืบทอดมาจากสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี มาโดยตรง ของคนอื่นแอบอ้างทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 ผู้ร้องได้แจ้งความดำเนินคดีกับหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ที่ สภ.เมือง สิงห์บุรี
คณะกรรมการจริยธรรมจึงมีมติให้ยุติการพิจารณา เนื่องจากผู้ร้องได้ใช้สิทธิร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินการตามกฎหมาย (แจ้งความดำเนินคดี) กับสมาชิกสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ (หนังสือพิมพ์เดลินิวส์และเดลินิวส์ออนไลน์) อันถือเป็นการใช้สิทธิทางกระบวนการยุติธรรมแล้ว และให้ทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ร้องเพื่อทราบตามขั้นตอนต่อไป
2.การร้องเรียน กรณีเว็บไซต์ เพจ Facebook ,Youtube และ Tiktok Thai PBS นำเสนอข่าวสำนักงาน ป.ป.ท. ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการปรับปรุงปลูกหญ้าสนามฟุตบอลฯ
ผู้ร้องเรียนมีหนังสือขอให้ช่วยตรวจสอบกรณีเว็บไซต์ เพจ Facebook , Youtube และ Tiktok ของ Thai PBS ได้นำข่าวที่สำนักงาน ป.ป.ท.ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบโครงการปรับปรุงปลูกหญ้าสนามฟุตบอลพร้อมลู่วิ่ง โรงเรียนเทศบาลบ้านโตนด ของเทศบาลตำบลบ้านโตนดไปเผยแพร่สู่สาธารณะ โดยมีรายละเอียด คือ คำชี้แจงของเจ้าหน้าที่ในการตอบข้อคำถามต่อสำนักงาน ป.ป.ท. , คลิปเสียง อีกทั้งมีภาพประกอบโดยไม่ทำการเบลอหน้า และนำไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเทศบาลตำบลบ้านโตนดมีความเห็นว่าการกระทำดังกล่าว ทำให้ผู้ที่ปรากฎในเว็บไซต์ เพจ Facebook , Youtube และ Tiktok Thai PBS เกิดความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ถูกเหยียดหยาม อันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล จึงอยากขอให้ท่านช่วยตรวจสอบว่ากรณีการลงข่าวดังกล่าว เป็นการละเมิดข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ พ.ศ.2564 หรือไม่
กรณีนี้ ไทยพีบีเอสชี้แจงว่า การนำเสนอข่าวโรงเรียนบ้านโตนด อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย สร้างผิดแบบทั้งลู่วิ่ง เสาไฟ ซึ่งมีการที่ลงพื้นที่โดยไม่ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่เทศบาลทราบ เพราะเห็นว่าหน่วยงานที่เชิญเป็นหน่วยงานภาครัฐคือ ปปท. และไทยพีบีเอส ก็ลงพื้นที่ไปกับเจ้าหน้าที่ของรัฐไปทำข่าวตามปกติ ข่าวนี้ก็ได้ตรวจสอบข้อมูลและไม่ได้รับผลประโยชน์จากฝ่ายใด ได้แจ้งนายกเทศมนตรี ซึ่งเป็นผู้ร้องว่าไทยพีบีเอสได้ลงข่าวคำชี้แจงต่างๆ ของนายกเทศมนตรีไปแล้ว
ทั้งนี้ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ได้แจ้งผู้ร้องให้ทราบถึงคำชี้แจงของไทยพีบีเอส ซึ่งผู้ร้องแจ้งว่าไม่ติดใจ คณะกรรมการจริยธรรม จึงมีมติให้ยุติเรื่อง และทำหนังสือแจ้งผู้ร้องทราบ
3.การพิจารณาการเสนอข่าว “อิลอน มัสก์” มหาเศรษฐีระดับโลก ตั้งคำถามในแอพพลิเคชั่น “เอ็กซ์” ว่า ควรจะซื้อหมูเด้งดีไหม พร้อมโพสต์รูปน่ารักของหมูเด้ง
คณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาโดยมองว่าการนำเสนอข่าวของเพจหรือเว็บไซต์ต่างๆ ไม่มีการบ่งชี้ให้ชัดเจนว่าเป็นการโพสต์ในเพจเรื่องล้อเล่นซึ่งนำมาใส่ไว้ตรงท้าย ซึ่งส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดของประชาชนที่เข้ามาอ่านข่าว
คณะกรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ พิจารณาแล้ว เห็นว่าข้อมูลแหล่งข่าวที่มาไม่ใช่เพจเป็นทางการของอิลอน มัสก์ แต่สื่อนำมาขยายว่าอิลอน มัสก์ จะซื้อหมูเด้ง ทำให้ประชาชนหรือสังคมรับรู้ว่าอิลอน มัสก์ จะซื้อหมูเด้ง เรื่องนี้ สื่อมวลชนสามารถนำเสนอข่าวได้แต่ต้องเขียนให้ชัดเจนว่าเป็นการล้อเลียน ไม่ควรเสนอเสมือนเป็นเรื่องจริง เพื่อจงใจขายข่าว จึงมีมติให้แจ้งสื่อมวลชนที่เป็นสมาชิกระมัดระวังการนำเสนอข่าวจากสื่อออนไลน์ที่ไม่เป็นทางการ และเป็นข่าวล้อเลียน หากนำเสนอควรระบุในพาดหัวข่าวและข่าวให้ชัดเจนว่า ข่าวดังกล่าวเป็นเรื่องล้อเลียน ไม่ใช่เรื่องจริง
สำหรับเรื่องร้องเรียนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการจริยธรรมจำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ การพาดหัวข่าวของสื่อออนไลน์ที่ไม่เหมาะสมกรณีไฟไหม้รถบัสนักเรียน โดยใช้คำว่า “ย่างสด” การพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ และกรณีนักแบดมินตันทีมชาติไทย พลาดเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก
โดยสรุปแล้ว ในรอบปีที่ผ่านมา สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ยังคงได้รับการร้องเรียนด้านจริยธรรมจากการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทั้งที่เป็นสมาชิกและไม่ได้เป็นสมาชิกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าว บางส่วนมาจากการร้องเรียนของผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงจากการนำเสนอข่าวสารหรือภาพข่าวต่างๆ ของสมาชิก และอีกบางส่วนเป็นการหยิบยกประเด็นปัญหาการละเมิดจริยธรรมผ่านคณะทำงาน คณะอนุกรรมการและคณะกรรมการของสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
สำหรับในปี 2568 แนวโน้มการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านจริยธรรมเพิ่มมากขึ้น เช่น การใช้ AI ในการนำเสนอข่าวอย่างไม่ระมัดระวัง รวมถึงการนำข้อมูลหรือเรื่องราวต่างๆ จากโซเชียลมีเดียมานำเสนอโดยไม่มีการกลั่นกรอง จนอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดและเสียหายแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงขอให้สื่อมวลชนตรวจสอบข้อมูลด้วยความรอบคอบ และคำนึงถึงจริยธรรมวิชาชีพวิชาชีพเป็นหลักในการปฏิบัติงาน เพื่อให้สาธารณชนเกิดความเชื่อมั่นในการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน.
สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
27 ธันวาคม 2567