แถลงการณ์ร่วมองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน เรื่อง การประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

แถลงการณ์ร่วมองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน

 

เรื่อง การประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

 

 

ตามที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ เมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๑ โดยมีเนื้อหาในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทยตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ หลายประการ

 

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนประกอบด้วย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ได้ประชุมหารือกันแล้ว มีความเห็นต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้

 

๑)      องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ไม่เห็นด้วยกับการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว เนื่องจากพระราชกำหนดฉบับนี้ มิได้ตราขึ้นโดยหลักนิติธรรม และมีเนื้อหาขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ โดยชัดแจ้ง นอกจากนี้ กระบวนการในการตรากฎหมายที่ใช้รูปแบบของการออกพระราชกำหนด ซึ่งไม่ใช่กระบวนการตรากฎหมายตามปกติ ยังเป็นการรวบรัดและมุ่งจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ

๒)     แม้ว่า พระราชกำหนดฉบับนี้ จะให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่เหตุผลและที่มาในการประกาศใช้พระราชกำหนดฯ ดังกล่าว ถือว่าไม่สมเหตุสมผล เพราะขณะนี้ สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น คลี่คลายลงจนอยู่ในขั้นที่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องสามารถควบคุมไม่ให้เกิดความรุนแรงได้แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องประกาศใช้พระราชกำหนดฯ และควรยกเลิกการประกาศนี้ในทันที

๓)     เป็นที่ประจักษ์ชัดโดยสื่อมวลชนต่างๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อกลางดึกคืนวันจันทร์ที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๑ ประกอบกับการให้สัมภาษณ์ของรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สามารถยืนยันชัดเจนได้ว่า แกนนำ รวมทั้งรัฐมนตรีบางคนของพรรครัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการยั่วยุให้กลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่ควรได้รับการประณามเป็นอย่างยิ่ง

๔)     การที่เนื้อหาบางส่วนในการประกาศใช้ข้อกำหนดตามมาตรา ๙ ของพระราชกำหนดการบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินออกข้อกำหนดห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือการทำให้เผยแพร่ ซึ่งหนังสือพิม์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นั้น ถือเป็นการขัดต่อสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชน ตามบทบัญญัติมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.๒๕๕๐ อย่างชัดแจ้ง อีกยังจะกระทบต่อสิทธิการรับรู้ข่าวสารของประชาชน อันจะนำไปสู่ความรุนแรงยิ่งขึ้นของสถานการณ์ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งในประวัติศาสตร์ทางการเมืองเมื่อสื่อมวลชนถูกปิดกั้นการเสนอข่าวสาร

๕)     องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ใช้ความอดทนอดกลั้นและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบไม่ว่ากรณีใดๆ รวมทั้งการพยายามยั่วยุประชาชนให้ใช้ความรุนแรงต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นการแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรีและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง การประกาศของแกนนำผู้ชุมนุม และการใช้สื่อของรัฐเป็นเครื่องมือโดยการนำเสนอข้อมูลข่าวสารจากรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว

๖)      ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยังอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ไม่ควรที่ฝ่ายความมั่นคงจะฉกฉวยสถานการณ์เช่นนี้ ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เพราะบทเรียนในอดีตที่ผ่านมา ยืนยันแล้วว่า การรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ แต่ยิ่งกลับทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

 

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง ๕ องค์กรมีความเชื่อมั่นว่า สถานการณ์วิกฤตของประเทศไทยในขณะนี้ ยังมีทางออกโดยใช้กระบวนการสันติวิธี และขณะนี้ ภาคส่วนต่างๆ ของสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำเสนอทางออกต่อวิกฤตการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันอย่างเข้มข้น องค์กรสื่อมวลชนต่างๆ ที่มีหน้าที่นำเสนอข้อมูลข่าวสาร จึงควรยึดมั่นในจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัด ด้วยการนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ประชาชนก็จะสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองได้อย่างถูกต้องในที่สุด

 

 

สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ

สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย

สมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย